เมื่อลูกไม่พอใจร้องลั่นในร้านอาหาร
ลูกดีเป็นศรีแก่พ่อแม่ ทำอะไรพ่อแม่ก็หน้าชื่นตาบาน แต่ถ้าลูกประพฤติตัวแย่ ไม่เชื่อฟัง ชอบเถียงพ่อแม่
โดย...อจต.
ลูกดีเป็นศรีแก่พ่อแม่ ทำอะไรพ่อแม่ก็หน้าชื่นตาบาน แต่ถ้าลูกประพฤติตัวแย่ ไม่เชื่อฟัง ชอบเถียงพ่อแม่ ต้องให้คอยบอกคอยเตือนตลอดเวลา ทำให้เสียหน้าต่อแขกที่มาบ้าน ทำสิ่งให้อับอายต่อสายตาผู้คนในที่สาธารณะ ก็ปวดเฮด เจ็บจี๊ดข้างใน แล้วถ้าลูกออกลีลากระบวนท่าไม่ดีในที่นอกบ้านท่ามกลางสายตาผู้คน พ่อแม่ทั้งหลายจะจัดการกับลูกหรือมีทางออกอย่างไร
สถานการณ์ : ในร้านพิซซ่าแห่งหนึ่งภายในห้างดัง คุณแม่คนหนึ่งพาลูกสาวอายุ 6 ขวบ และลูกชายวัย 8 ขวบ มานั่งกินพิซซ่า คุณแม่สั่งพิซซ่า ไก่ทอด น้ำ 2 แก้ว น้ำอัดลม 1 แก้ว ชามะนาว 1 แก้ว พอพนักงานมาเสิร์ฟน้ำ พี่ชายคว้าแก้วชามะนาวมาก่อน น้องสาวไม่พอใจ ร้องเสียงดังลั่นร้าน ไม่ๆๆ...ของหนูนะๆ ลูกค้าคนอื่นในร้านมองมาที่โต๊ะ ฝ่ายคุณแม่ทำอะไรไม่ถูกและรู้สึกอายพานอารมณ์เสีย สายตาจ้องเขม็งไปที่ลูกสาวเหมือนต้องการจะสะกดอารมณ์ลูก ก่อนจะกวาดสายตาไปหาลูกชายพร้อมสั่งว่าให้น้องก่อน ฝ่ายน้องสาวก็เรียกชื่อพี่อยู่นั่นแหละ
ทางออก : เชื่อว่าพ่อแม่หลายคนน่าจะเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้มาบ้าง แต่ละคนคงมีทางออกของตัวเอง บางคนอาจจะใช้วิธีตะคอกใส่ลูก หรือทำโทษลูกโดยที่ไม่ให้คนในร้านเห็น เช่น ด้วยการหยิกลูกสาว แต่ตายล่ะ ลูกสาวดันพูดขึ้นว่า แม่หยิกหนูทำไม ร้องใหญ่เลย บางคนอาจจะฉุดลูกออกมานอกร้านเพื่อเคลียร์ให้เรียบร้อย ซึ่งนี่ก็ไม่พ้นสายตาผู้คนอยู่ดี
วิธีที่ว่ามานี้เมื่อคิดแล้วตรองแล้วว่าไม่ควรทำอย่างยิ่ง เมื่อลูกร้องเสียงดังลั่นเช่นนี้ในร้านอาหาร สิ่งแรกคือ คุณแม่อย่าอายและรู้สึกว่าขายหน้าแม้ว่าจะหน้าชาหน้าแดงเพราะการกระทำของลูกครับก็ตาม แต่ควรอายถ้าคุณแม่ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ใช้อารมณ์ด้วยการตวาดหรือพูดเสียงดังกับเด็กในที่สาธารณะ ในที่ที่คนมาก หรือแม้แต่ในที่เฉพาะอย่างร้านอาหารแบบนี้
การดุหรือตวาดลูกในที่แบบนี้ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะอาจไม่ทำให้สถานการณ์ดีซ้ำร้ายกว่าเดิม ดังนั้นคุณแม่ควรพูดกับเขาดีๆ เพราะลูกต้องการความรักและความเอาใจใส่จากพ่อแม่อยู่แล้ว ไม่ใช้อารมณ์แล้วลองมองไปที่ความต้องการของเขา ณ ขณะนั้นว่าเขาต้องการอะไร แล้วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เช่น ลองสั่งมาอีก 1 แก้ว น่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น กลับถึงบ้านค่อยมาสอนกัน
ถ้ายังไม่ได้ผลลองพาไปยังที่ส่วนตัว อาจที่รถหรือที่ไม่พลุกพล่าน คุยกับลูกทั้งสองคน คุณแม่ต้องอธิบายให้ลูกฟังว่า แม่ไม่ชอบพฤติกรรมแบบนั้น เด็กจะได้เชื่อมโยงเหตุและผลเข้าด้วยกันและจะไม่ทำซ้ำ และเมื่อเข้าสู่ภาวการณ์ปกติอย่าลืมที่จะบอกลูกว่าแม่รักลูกนะ ซึ่งต้องไม่ลืมว่าหลังเหตุการณ์นี้เขาอาจต้องการคนปลอบใจ แต่ว่าไม่ใช่ไปโอ๋เพราะจะทำให้เด็กเสียนิสัย
ต้องไม่ลืมว่า การที่ลูกมีพฤติกรรมแบบนี้เชื่อว่าไม่ได้มาจากนิสัยพื้นฐานของเด็ก แต่มาจากวิธีการเลี้ยงลูกมากกว่า เช่น ปล่อยลูกมากเกินไป ไม่ว่าลูกจะทำอะไรทั้งที่รู้ว่าไม่ก็ไม่เคยสั่งสอน ปล่อยให้เขาทำผิดเรื่อยๆ หรือแต่สั่งอย่างเดียวโดยที่ไม่อธิบายให้ลูกฟังว่าสิ่งที่สั่งให้ทำทำไมลูกต้องทำ ทำแล้วจะได้ผลอะไร อีกอย่างพ่อแม่ไม่พยายามสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับลูก เมินเฉย เฉยชาใส่ลูก รวมถึงพฤติกรรมไม่ดีของพ่อแม่ทั้งคำพูดและการกระทำที่ลูกอาจเลียนแบบมา เช่น ชอบทะเลากัน ชอบด่า ชอบทำเสียงดังใส่กัน ลูกก็เลียนแบบบ้าง
Ask the expert
Q. ลูกชายวัย 17 ปี เคยเป็นเด็กน่ารักพูดจารู้เรื่อง แต่ยิ่งโตยิ่งดื้อคุยไม่กี่คำก็ชักจะเถียงพูดอะไรไม่ค่อยฟัง เราจะปรับท่าทีและสื่อสารกับแกอย่างไรดีคะ?
A. นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ ผู้อำนวยการทางการแพทย์ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ลูกชายอายุ 17 ปีก็เป็นแบบนี้ เป็นปกติ เพราะในวัยดังกล่าวความคิดของเขากับความคิดของคุณแม่เป็นความคิดคนละสมัย ถ้าแม่คนไหนอยากมีความสุข ก็ลองคิดแบบเด็กผู้ชายวัยรุ่นที่อายุ 17 ปี ดูบ้าง ก็น่าจะทำให้เข้าใจเด็กวัยรุ่นดีมากขึ้น เพราะลูกชายของคุณเขาโตแล้ว เขาอยากที่จะเป็นคนที่พ่อแม่ยอมรับในความสามารถของเขาบ้าง ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นก็คือแม่จะห่วงมากไปและชอบสอนนั่นสอนนี่ ตามทฤษฎีแล้วถ้าจะสอนลูกขอให้สอนตั้งแต่อายุ 310 ขวบ เพราะหลังจากนั้นเขาจะไม่ให้พ่อแม่สอนอีกแล้ว ใครสอนมาดีตั้งแต่เด็ก เขาก็จะเชื่อ แต่ใครที่คิดจะมาสอนภายหลังก็ย่อมจะเกิดความแปลกแยกทางความคิดเป็นธรรมดา ถ้าคุณจะถามว่าทำอย่างไรดี ก็ลองตอบตัวเองว่าตอนเราอายุเท่านั้น เถียงพ่อแม่ไหม และตอนนี้ยังเถียงพ่อแม่ที่แก่ชราอยู่หรือไม่ ก็คงจะเข้าใจมากขึ้น
He Said/She Said
คิมพนักงานบริษัท
“ผมชอบผู้หญิงใจดีครับ ร่าเริง ยิ้มเก่งๆ ดูสดใส น่ารัก และมองโลกที่เปลี่ยนไปอย่างเข้าใจ จะไม่ชอบสาวๆ ที่เรื่องเยอะ มันวุ่นวายนะครับผมกลัวตามเธอไม่ทัน (หัวเราะ)”
แอลพนักงานบริษัท
“ชอบหนุ่มหล่อๆ (หัวเราะ) รูปร่างดีๆ ไม่ต้องถึงกับกล้ามปู แค่มีทรวดทรงสมส่วนก็พอแล้วค่ะ ที่สำคัญต้องเข้าใจเรา เทคแคร์เรา ไม่รู้ว่าชาตินี้จะเจอหรือเปล่านะค่ะ”
Quote
“ชีวิตก็เหมือนกับผืนผ้าใบที่เต็มไปด้วยร่องรอยของฝีแปรงที่แตกต่าง เช่นเดียวกับหลากหลายเฉด แสงเงา และสีสันมากมาย หลอมรวมกับเป็นภาพภาพหนึ่ง โดยที่ร่องรอยฝีแปรง แสงเงา และสีสันเหล่านั้น พร้อมที่สูญเสียรูปทรงของตัวเองให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว แต่ต้องการจะมารวมกันเฟรมอันนี้”
วันน่า บอนต้า นักเขียนสาวชาวอเมริกัน


