เรียบง่ายคืออัจฉริยะ
โดย...หนูดี – วนิษา เรซ / ภาพ รอยเตอร์ส
โดย...หนูดี – วนิษา เรซ / ภาพ รอยเตอร์ส
จากเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมา หนูดีได้ไปฝึกปฏิบัติตามแนวเต๋าเช่นเดิม และมีโอกาสได้แบ่งปันหนังสือคัมภีร์เต๋าฉบับกระเป๋าให้กับแฟนๆ ใน Facebook และอินสตาแกรม ซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มเล็กที่มีเฉพาะกลอน 81 บท และพกพาได้ หนูดีจึงพบว่าคนไทยจำนวนมากไม่มีโอกาสได้อ่านคัมภีร์นี้ ซึ่งน่าเสียดายเพราะเป็นคัมภีร์ที่อายุถึง 3,000 ปี มีเพียง 5,000 คำ เขียนเป็นกลอนสั้นๆ 81 บท แต่ตีความกันได้หลากหลายทุกเรื่อง ตั้งแต่แนวคิด ปรัชญา วิถีชีวิต การเมือง การปกครอง หรือแม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัวอย่างสุขภาพ
หนูดีศึกษาคัมภีร์เต๋ามาปีนี้ ครบรอบ 6 ปีเต็มพอดี ...พอมาดูเวลาแล้วตกใจค่ะ เพราะว่าอ่านกลับไปกลับมา ไม่เบื่อ และรู้สึกว่า มันอ่านไม่จบ เพราะพอเข้าใจและตีความบทหนึ่งแล้ว พอเราเติบโตขึ้นอีกกลับตีความได้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก และที่สำคัญคือ หนูดีพบว่า ความคิดหนูดีเรียบง่ายขึ้นมาก
ความคิดเรียบง่ายเป็นสิ่งที่ดีมากนะคะ เพราะว่าการเรียนและสังคมพยายามจะทำให้เรา “ยาก” และ “ซับซ้อนวุ่นวาย” เพราะตีความคำว่า ยากและซับซ้อน เทียบเท่ากับคำว่า “ฉลาด” แต่แท้จริงแล้ว ความเรียบง่าย ชัดเจน และจริงใจ คือความฉลาดขั้นสุดยอดแล้ว
ครั้งหนึ่งที่จะมีการประกาศรางวัลประจำปีให้แก่คนที่ทำงานวิจัยได้ดีที่สุด ซึ่งทุกคนคิดว่า รางวัลต้องไปที่ไอน์สไตน์แน่นอน แต่ปรากฏว่า คนที่ได้รางวัลในปีนั้นคือ Erik Erikson ซึ่งไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่า “สังเกตลูกตัวเองแล้วบันทึก” จนออกมาเป็นแบบแผนพฤติกรรมของเด็กปฐมวัย ในงานรับรางวัล ไอน์สไตน์บอกว่า “This is so simple and so obvious, only a genius could think of it.” (มันช่างเรียบง่ายและชัดแจ้ง คงมีแต่อัจฉริยะเท่านั้นที่คิดได้)
ความเรียบง่าย บางครั้งถูกตีค่าต่ำจนน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ความจริง มันคือความฉลาดขั้นสุดยอดประเภทหนึ่ง
คนเป็นครูขั้นสุดยอด อาจดูภายนอกแตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือ ความสามารถในการอธิบายเรื่องยากให้เข้าใจง่ายๆ ทำทุกสิ่งให้เรียบง่ายที่สุด แม้มันจะเป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุด
สำหรับคัมภีร์เต๋า หนูดีพบว่า คัมภีร์ที่ใครๆ ยกย่องว่า “เทพ” ยกย่องว่า คิดได้แบบอัจฉริยะ จนผู้นำที่ได้รับการยกย่องว่า “สุดยอด” ต่างศึกษาคัมภีร์เต๋า แม้กระทั่งบารัก โอบามา ที่ไม่ใช่ชาวเอเชีย แต่ก็กลับมีคัมภีร์นี้ฉบับแปลเป็นอังกฤษไว้อ้างอิงเช่นกัน เมื่อหนูดีได้อ่าน กลับพบว่าเป็นแนวคิดที่เรียบๆ ง่ายๆ ชัดเจน และเต็มไปด้วยคุณธรรมที่ใครๆ ก็รู้และยอมรับได้ง่ายๆ แต่ทำได้ยากจริงๆ ในหลายเรื่องค่ะ
คงเพราะเราถูกหล่อหลอมให้ดำเนินชีวิต “ยาก” เกินไปเสียแล้ว
เช่น
..................................................
บทที่ 19 ลดความทะยานอยาก
การปกครองละทิ้งปัญญาหลักแหลม
ประชาชนได้ประโยชน์ร้อยเท่าพันทวี
ละทิ้งเมตตาจอมปลอม
ประชาชนจึงฟื้นเมตตากตัญญู
ละทิ้งลาภยศเล่ห์กล
จะไม่มีโจร
ทั้งสามประการนี้ไม่เพียงพอ
ดังนั้น จะให้ประชาชนมีสิ่งยึดเหนี่ยว
นั่นคือ ความเรียบง่ายบริสุทธิ์
ลดความเห็นแก่ตัว ละความทะยานอยาก
...................................................
เต๋า คือ ความขัดแย้งที่น่าทึ่งค่ะ เพราะหากอ่านจากกลอนบทนี้เพียงผิวเผิน เราจะงงว่า ทำไมการปกครองต้อง “ละทิ้งปัญญาหลักแหลม” คนไม่ฉลาดจะปกครองประเทศได้อย่างไร แต่แท้จริงแล้ว คนที่ฉลาดเกินไป และใช้ความหลักแหลมยอกย้อน กลับยิ่งทำให้ตัวเองและประชาชนมีภัย
ความเมตตาจอมปลอมคืออะไร มันคือการมีนโยบายต่างๆ ที่ดูเผินๆ เหมือนดีกับประชาชน แต่แท้จริงแล้วเอื้อประโยชน์ให้ผู้ที่ปกครอง มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงผ่านนโยบายต่างๆ ที่เมื่อประชาชนมารู้ภายหลัง รังแต่จะเกิดความไม่ไว้ใจชนชั้นปกครอง และก่อให้เกิดความรุนแรงต่างๆ ได้ รวมถึงการละทิ้งลาภยศไม่ยึดติดกับตำแหน่ง เพราะหลักการเต๋าจะย้ำเสมอถึงการทำงานโดยใส่แรงเต็มที่ แต่ไม่บังคับว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร คือ มุ่งมั่นในเหตุ แต่ปล่อยวางในผล กฎนี้เรียกกันว่า “หลักอู๋เหวย” แต่ 3 สิ่งนี้ ตามหลักการเต๋าก็ยังว่า ไม่เพียงพอ
เพราะสำหรับประชาชนแล้ว ยังต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยว และสิ่งยึดเหนี่ยวที่เต๋าแนะนำก็คือ วิถีชีวิตที่เรียบง่ายบริสุทธิ์ ลดความเห็นแก่ตัวและละความทะยานอยาก
คัมภีร์เต๋านี้ หากมาอ่านในยุคปัจจุบัน คนหลายคนอาจบอกว่า Impossible!! มันเป็นไปไม่ได้
เพราะเราสอนให้คนทะเยอทะยาน และเราอาจเถียงได้ว่า ถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วจะอยู่อย่างไรในโลกที่ทุกคนเอาตัวเองเป็นหลัก และเอาตัวเองรอด
แต่หนูดีพบว่า ทำได้ และมันทำให้ชีวิตของหนูดีมีความสุขขึ้นอีกมาก เพราะเราซับซ้อนน้อยลง ท่ามกลางโลกที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน
ยิ่งอีกบทหนึ่งที่บอกว่า
ผิดหนักสุดคือเห็นแก่ตัวและทะยานอยาก
ภัยใหญ่หลวงคือไม่รู้จักพอ
ไม่มีผิดใดยิ่งกว่าความโลภ
ดังนั้น รู้จักพอจึงสมบูรณ์ยั่งยืน
จะมีเพียงพอนิรันดร์
(บทที่ 46 รู้จักพอสุขนิรันดร์)
หนูดีเองพบว่า ในการใช้ชีวิตที่เราอยากพัฒนาชีวิตให้ดีมากขึ้นทุกวันๆ ทุกปีๆ เรายิ่งพยายามค้นหาหลักการและวิถีทางที่ยากขึ้น เพราะเราคิดตามหลักการของโรงเรียนที่ว่า ยิ่งเรียนชั้นสูงขึ้นเรายิ่งต้องเจอหลักสูตรและบทเรียนที่ยากขึ้น
แต่สิ่งที่หนูดีพบหลังจากเรียนจบและเริ่มทำงานแล้วก็คือ ยิ่งอายุมากขึ้น ผ่านประสบการณ์มากขึ้น เรายิ่งต้องฝึกสมองเราให้เรียบง่ายลง ละสิ่งต่างๆ ที่สับสนออกไป เพื่อให้สิ่งที่สำคัญที่สุดแสดงตัวออกมาได้
และหนูดีพบว่า จริงๆ แล้ว สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนเรา สมองของเรา และชีวิตของเรา คือสิ่งที่ง่ายๆ และเราทุกคนรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว เช่น ความประหยัด ความเรียบง่าย ความพอเพียง ฯลฯ ซึ่งอย่าคิดว่า ยุคนี้มันทำได้ยาก แต่หนูดีกลับมองว่า ยิ่งยุคนี้ล่ะ เรายิ่งจำเป็นต้องมีคุณธรรมเรียบง่ายแบบนี้ยิ่งกว่ายุคไหนๆ ที่ผ่านมา


