posttoday

ชมถ้ำโพวินต่อง เมืองมอญยอ อันซีนพม่า

26 มกราคม 2557

ณ ยามที่เมียนมาร์ หรือที่พวกเรายังติดปากเรียกกันอยู่ว่า พม่า

โดย...มิยา ชินด์เลอร์ / ภาพ มิยา ชินด์เลอร์

ณ ยามที่เมียนมาร์ หรือที่พวกเรายังติดปากเรียกกันอยู่ว่า พม่า เปิดประเทศให้ผู้คนเข้าไปทัศนาได้มากขึ้น นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยจำนวนมากก็ตบเท้าเข้าไปเที่ยวกันอย่างคับคั่ง ยังเมืองสวยที่แสนจะเคร่งศาสนา แม้ว่าจะเคยผ่านสงครามกลางเมืองอันโหดร้าย และเคยปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหาร ทว่าธรรมชาติสวยๆ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนายังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้แสวงบุญได้อย่างครบถ้วน

จิตกร บุษบา ได้รับเชิญจากเปี่ยมบุญทัวร์ ไปบรรยายในทัวร์ทำบุญฉลองครบ 20 ปี บริษัท แมกซิมา ในครั้งนี้ บอกว่า จุดหมายปลายทางของเราอาจจะเรียกได้ว่าเป็น “อันซีนพม่า” เพราะเพิ่งมีคนไทยเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เคยได้เดินทางไปเยือน

ชมถ้ำโพวินต่อง เมืองมอญยอ อันซีนพม่า

 

อาจด้วยเพราะ “ถ้ำโพวินต่อง” (Phowin Duang) แห่งเมืองมอญยอ (Monywa) ต้องผ่านการเดินทางอันยากลำบาก ด้วยต้องผ่านถนนหนทางยังไม่ค่อยสะดวกเป็นระยะๆ เป็นเวลาถึง 3 ชั่วโมง จากเมืองมัณฑะเลย์ ผ่านเมืองอมราปุระและเมืองสะกายไปทางตะวันตก

ถ้ำโพวินต่อง ตั้งอยู่นอกเมืองมอญยอไปราว 25 กิโลเมตร เป็นการเจาะภูเขาหินทรายเข้าไปเป็นห้องคูหาต่างๆ กว่า 900 คูหาน้อยใหญ่ มีอายุมากกว่า 200 ปีแล้ว โดยภายในห้องคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ โดยเฉพาะปางมารวิชัยและปางปรินิพพาน ในบางถ้ำประดิษฐานพระพุทธรูปเพียงองค์เดียว ชาวพม่านิยมมานั่งสมาธิ โดยถือเฉกเช่นการปวารณาตัวถวายพระพุทธเจ้าแบบตัวต่อตัว

ชมถ้ำโพวินต่อง เมืองมอญยอ อันซีนพม่า

 

ไม่เพียงแต่มหัศจรรย์การเจาะภูเขาทั้งลูกให้กลายเป็นถ้ำจำนวนมากมายเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อย้อนไปในยุคที่ไร้เทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรงต่างๆ อย่างเมื่อ 200 ปีก่อน ในบางถ้ำบางคูหาที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย ประดิษฐานพระพุทธรูปมากกว่า 1 องค์ พร้อมภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เรื่องราวเกี่ยวกับชาดกต่างๆ รวมทั้งเรื่องราว ลวดลายอันเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา

ศิลปะภาพเขียนสีบนจิตรกรรมฝาผนังและพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่อยู่ในถ้ำโพวินต่องนั้น คาดว่ามีอายุย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ถึง ศตวรรษที่ 18

ชมถ้ำโพวินต่อง เมืองมอญยอ อันซีนพม่า

 

ตำนานเล่ากันว่า บรรดาถ้ำน้อยใหญ่บนภูเขานี้ เคยเป็นที่อยู่ของฤๅษีอูโพวินผู้มีอิทธิฤทธิ์ เมื่อเจ้าเมืองแปรได้รับเชิญมาเป็นพระอาคันตุกะแห่งพระเจ้าอโนรธา เจ้าอาณาจักรพุกาม ขากลับเสด็จผ่านมาทอดพระเนตรภูเขาหินทรายที่มีลักษณะเป็นถ้ำๆ แห่งนี้ จึงทรงนึกถึงตำนานดังกล่าวและตั้งชื่อว่า โพวินต่อง ทั้งโปรดให้สร้างถ้ำหินต่างๆ อย่างในตำนาน

“ถ้ำเล็กๆ ที่บรรจุพระ 1 องค์ต่อ 1 คน ทำเป็นช่องๆ แบบนี้ก็เหมือนกับว่าเรามาปวารณาตัวอยู่กับพระพุทธเจ้าเลย” จิตกร เริ่มพาทัวร์ขึ้นไปตามขั้นบันไดลัดเลาะเขาชมถ้ำต่างๆ ที่มีตัวเลขกำกับเอาไว้เพื่อเป็นการนับจำนวนไปในตัวด้วย

ชมถ้ำโพวินต่อง เมืองมอญยอ อันซีนพม่า

 

เฉพาะถ้ำที่มีขนาดใหญ่เท่านั้นจึงประดับประดาไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังภาพเขียนสีศิลปะพม่า “ภาพที่เขียนในนี้จะเป็นภาพลักษณะที่เรียกว่า ฟรีแฮนด์ไปเลย คือ เขียนกันสดๆ ไม่มีการร่างก่อน เราจะเห็นว่าการตีช่องตารางนี่มันไม่ได้เป็นสัดเป็นส่วนอะไรเลย แต่เป็นเหมือนกรอบที่ทำให้ภาพมาจรดกันคร่าวๆ เท่านั้นเอง”

ถ้ำใหญ่ถ้ำแรกที่เราไปเยือน เล่าเรื่องราวเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ “ที่เห็นเป็นวงโค้งอันนี้ จริงๆ แล้วคือการเขียนต้นโพธิ์ ซึ่งเล่าถึงคราวที่พระพุทธองค์ได้มาตรัสรู้ที่นี่ โดยภาพจะตอบรับกับพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ที่นี่ แต่บังเอิญองค์นี้เป็นองค์ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ ก็เลยวางได้ไม่พอดี จึงสูงกว่าซุ้มเรือนแก้วที่เขียนไว้เดิม

ชมถ้ำโพวินต่อง เมืองมอญยอ อันซีนพม่า

 

ข้างๆ เราจะเห็นว่ามีรูปวาดของพระสาวกของพระพุทธเจ้ากำลังนั่งไหว้อยู่ รวมทั้งเหล่าเทวดามากมายหลายองค์มาเข้าเฝ้าแสดงความยินดีที่มีมหาบุรุษเข้าสู่การตรัสรู้ ส่วนข้างบนนี้ที่วาดไว้น่าจะเป็นต้นโพธิ์ ซึ่งดูแล้วมีการจิตนาการลวดลายต่างๆ เข้าไปมากมาย ไม่ใช่การวาดแบบเรียลลิสติก อย่างไรก็ตาม ภาพนี้แสดงให้เห็นศิลปะการวาดต้นโพธิ์ของพม่าอย่างชัดเจน ก็คือ การวาดให้เป็นกิ่งก้านรูปงาช้างม้วนไปม้วนมาจนเกิดความอ่อนช้อยสวยงามขึ้น ซึ่งเป็นเป็นอิทธิพลของอาณาจักรพุกาม ซึ่งรวมทั้งการสร้างคูหาแบบนี้ จะเน้นเป็นคูหาเจดีย์ อาศัยการเจาะภูเขาเข้ามา และบางส่วนก็ใช้ปูนพอกเข้าไป

ในถ้ำนี้ถือเป็นซุ้มภาพวาดที่สมบูรณ์ที่สุด ที่ภาพเขียนจะรับกับประติมากรรม ถ้านำพระองค์ที่ไม่ผิดฝาผิดตัว เป็นพระปางสมาธิที่ขนาดพอดีก็จะไม่ผิดวาระ ในถ้ำเหล่านี้คือพระพุทธเจ้าจะปรากฏพระองค์ในลักษณะที่เป็นรูปปั้น ขณะที่ภาพด้านหลังเป็นการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกลายเป็นองค์ประกอบที่สวยงาม”

ชมถ้ำโพวินต่อง เมืองมอญยอ อันซีนพม่า

 

จิตกร บรรยายต่อว่า ผนังอีกด้านบอกเล่าเรื่องราวของอดีตพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ “ในทางพระพุทธศาสนาได้บอกไว้ว่า โลกนี้มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาเท่าเม็ดทรายในมหาสมุทร แต่ที่เราบัญญัติชื่อและรู้จักกันก็มีจำนวน 28 พระองค์ในสายของเถรวาท ขณะที่ฝ่ายมหายานก็จะเรียกว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหมด นับว่ามากเท่าเม็ดทรายในมหาสมุทรเลยจริงๆ แต่ก็จะมีองค์ที่เป็นที่รู้จักกันมากๆ อย่างเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งเป็นพระแม่โพธิสัตว์ลงมาโปรดมนุษย์

มหายานก็จะต่างจากเถรวาท คือ พระโพธิสัตว์ก็จะมาในลักษณะของการเวียนว่ายตายเกิด คอยลงมาช่วยมนุษย์ ก็จึงเรียกว่ามหายาน เพราะเปรียบเป็นดังยานลำใหญ่ที่คอยมาบรรทุกมนุษย์ให้ข้ามวัฏสงสารไปให้ได้มากที่สุด ต่างจากเถรวาทที่เน้นการดับการเวียนว่ายตายเกิด โดยเหลือแผนที่ที่จะทำให้คนที่ยังไม่พ้นทุกข์สามารถเดินไปได้เอง เน้นเรื่อง อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ให้เดินไปเองตามแผนที่ที่พระพุทธเจ้าทรงทิ้งเอาไว้ให้ แล้วก็มีคำว่า วิญญูหิติ ก็คือ รู้แจ้งด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาชี้ แล้วต้องคอยเดินตาม แต่ให้ปฏิบัติเพื่อรู้แจ้งเอง จะเป็นการเข้าถึงความหลุดพ้นที่แท้จริง”

ปีนป่ายขึ้น ลงมาถึงถ้ำสิงห์ ซึ่งรูปปั้นนั้นคล้ายสัญลักษณ์ในการแยกถ้ำให้แตกต่างกันเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไร สำรวจดูรูปสิงห์หน้าถ้ำก็สรุปได้ว่า เทคโนโลยีในการแกะสลักในสมัยก่อนยังไม่ค่อยล้ำเท่าไหร่ ทำให้ไม่สามารถสลักขาให้แยกออกจากกันได้

ชมถ้ำโพวินต่อง เมืองมอญยอ อันซีนพม่า

 

ด้านในถ้ำสิงห์เป็นองค์พระนอน “ซึ่งสังเกตว่า เป็นการนอนที่ไม่ได้นำมือมาค้ำศีรษะ แสดงว่า เป็นปางปรินิพพาน อย่างที่วัดโพธิ์นั้นเป็นปางไสยาสน์ อีกองค์ประกอบหนึ่งที่แสดงถึงการเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ก็คือ ภาพเขียนด้านหลังที่มีรูปพระหลายองค์ทำท่าสักการะ โดยในการไหว้จะไม่ได้ใช้มือพนมประกบกัน แต่ใช้หลังมือจรดกันแทน เป็นการไหว้แบบอินเดียโบราณ ผมว่าตอนหลังมันคงจะลำบาก คงจะเมื่อย ก็เลยหันฝ่ามือมาประกบกันจะดีกว่า”

จิตกร ชี้ให้ดูสิ่งที่สวยงามและโดดเด่นภายในถ้ำนี้ นั่นคือ ลายดาวบนเพดานถ้ำ “แต่ละดวงจะไม่เหมือนกันเลย เป็นเหมือนรูปดอกไม้ ซึ่งเป็นการเขียนสดแบบไม่ได้ร่างก่อนเช่นเดียวกับถ้ำอื่นๆ ดังนั้น ก็จะไม่ได้สัดส่วนแบบเรขาคณิต ขณะที่ผนังด้านตรงข้ามเป็นจิตรกรรมฝาผนัง เล่าเรื่องพระเวสสันดร ตอนต้นเรื่องอยู่บริเวณนี้ ท่านยกช้างปัจจัยนาเคนซึ่งเป็นของคู่บ้านคู่เมืองให้คนอื่น เนื่องจากท่านบำเพ็ญทานบารมี ใครขออะไรก็ให้ ชาวเมืองรู้เข้าก็เลยโกรธ แล้วก็ขับท่านออกจากเมือง ก็เล่าเรื่องไปจนจบ สิ่งที่เราได้เห็นในภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ ก็คือ รายละเอียดของยานพาหนะ รายละเอียดการแต่งตัวของชาวพม่าในสมัยก่อน ชนชั้นไหนเขาแต่งตัวกันอย่างไร ประมาณนี้ครับ”

เดินไต่เขามาอีกด้าน ทุกคนได้พบกับสถาปัตยกรรมที่แปลกตาน่าสนใจ เป็นการออกแบบหน้ามุขแบบชาวยุโรป ซึ่งผู้บรรยายคนเดิมบอกว่า พระพุทธรูปในคูหานั้นเป็นของเดิม แต่เมื่ออังกฤษเข้ามายึดพม่าได้แล้ว ก็มาทำวิธีการที่จะประกาศชัยชนะเหนือผู้ถูกล่า โดยมาสร้างซุ้มที่เป็นศิลปะแบบอังกฤษครอบถ้ำแบบเดิมเอาไว้

“ตรงซุ้มด้านหน้าข้างบนจะเห็นสิงโตที่แสดงความเป็นสัญลักษณ์แห่งอังกฤษ ส่วนม้าด้านขวามือเป็นแบบพม่า แล้วยังมีมงกุฎของราชินีอังกฤษอยู่ด้วย ยิ่งเมื่อเราดูลวดลายที่นำมาผูกเอาไว้ในถ้ำนี้ จะเห็นเป็นรูปดอกกุหลาบ ซึ่งไม่ได้มีอยู่ในศิลปะพม่า หรือข้างบนก็จะมีลายผีเสื้อ แถมยังมีลายคิวปิด ลายเทวดาเด็กๆ อีกต่างหาก” นอกจากนี้ การใช้สีและลวดลายหลายอย่าง แสดงให้รู้ว่าเป็นศิลปะแบบอังกฤษที่นิยมเขียนในอาคาร “เรียกว่าเป็นคูหาที่เป็นลูกครึ่ง เป็นลายยุโรปที่ปรากฏเป็นแห่งเดียวในกว่า 900 คูหาของที่นี่”

ก่อนจะถึงทางออกมีคูหาใหญ่ประดิษฐานพระนอนปางปรินิพพานเอาไว้อีกหนึ่งคูหา “คูหานี้มีพื้นที่มากกว่าคูหาเมื่อสักครู่ จึงมีการวาดเทวดาเข้ามามากขึ้น รวมทั้งมีการเพิ่มสีสันในการวาดมากขึ้นด้วย โดยจะเน้นสีเขียว สีแดงเป็นหลัก

ส่วนที่สวยมากของคูหานี้ ก็คือ ดวงดาวบนเพดาน ที่ผูกลายได้วิจิตรซับซ้อนมากขึ้น และใช้สีมากขึ้น นอกจากนี้ ต้นโพธิ์ในถ้ำใหญ่นี้ก็มีความวิจิตรงดงามมากขึ้นด้วย เพราะมีพื้นที่ให้สามารถวาดกิ่งก้านได้มากขึ้น” จิตกร เสริมว่า ทั้งถ้ำและจิตรกรรมได้รับการซ่อมแซมบ้างเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้รับการซ่อมแซมมากเท่าไหร่ แต่เนื่องจากบริเวณนี้ของพม่ามีความแห้งแล้ง เพราะฉะนั้นไม่มีความชื้น ภาพจึงติดทนนาน แม้เวลาจะผ่านมา 200 ปีแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังมีให้ชื่นชมอยู่

เช่นเดียวกับถ้ำอื่นๆ ที่ลวดลายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลายสัตว์ปีกต่างๆ รวมทั้งสัตว์กีบ สัตว์ใหญ่ๆ ล้วนเขียนฟรีแฮนด์ทั้งหมด รวมทั้งจิตรกรรมฝาผนังอีกด้านหนึ่งของถ้ำ ที่เป็นเรื่องราวประวัติของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ดังๆ 28 พระองค์

“สังเกตว่า พล็อตของเรื่องก็จะคล้ายๆ กันหมด ก็คือ ทรงเกิดเป็นกษัตริย์ แต่เบื่อหน่าย ต้องการออกไปค้นหาสัจธรรมของชีวิต จากนั้นก็ทรงออกบวช มีพญามารห้าม มีพระแม่ธรณีมาบีบมวยผม แล้วก็ตรัสรู้ เพียงแต่จะต่างกันที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะตรัสรู้ใต้ต้นไม้ต่างชนิดกัน อย่างองค์ปัจจุบันเราตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ องค์ก่อนหน้านั้นก็มีต้นจิก ต้นไทร ต้นอื่น ๆ อีกมากมาย"

  จะงดงามปานไหน ต้องไปดูให้เห้นด้วยตาตัวเอง

ข่าวล่าสุด

แอร์เอเชียจัดโปร NiHao China บิน 10 เมืองฮิต เริ่มต้นแค่ 2,026 บาท