คู่พุทธสาวกในวัดจีน
เมื่อวันที่ 22-24 ม.ค.ที่ผ่านมา มีโอกาสร่วมทริปไปคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
เมื่อวันที่ 22-24 ม.ค.ที่ผ่านมา มีโอกาสร่วมทริปไปคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่ออัญเชิญเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี๊ย มาให้ชาวไทยได้กราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลในงานพาราไดซ์ พาร์ค มหาตรุษจีน มหามงคล ณ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ถนนศรีนครินทร์ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค.-9 ก.พ. 2557
ทริปนี้ ทางพาราไดซ์ พาร์ค ได้เชิญ อ.วิโรจน์ตั้งวาณิชย์ ผู้เชี่ยวภาษาและวัฒนธรรมจีน ร่วมเดินทางไปด้วย ในการให้คำแนะนำและข้อมูลต่างๆ ด้วย
วัดขวาถิน คือ สถานที่แห่งหนึ่งที่คณะได้เดินทางไป เพราะเป็นสถานที่สำคัญในการประกอบพิธีอัญเชิญเทพไฉ่ซิ้งเอี๊ยโดยพระสงฆ์จีนก่อนจึงจะนำกลับมายังเมืองไทย พูดง่ายๆ คือ ให้พระจีนทำพิธีให้ก่อนเพื่อความเป็นมงคล
และในวัดจีนแห่งนี้ก็ทำให้สิ่งที่ผมเองเข้าใจผิดมาตลอดได้รู้ว่าความจริงคืออะไร และผู้ที่ให้แสงสว่างคือปัญญาครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใคร ก็คือ อ.วิโรจน์ นั่นล่ะ
แม้ว่าผมเองจะไม่ได้ไปวัดจีนบ่อย แต่ก็เคยไปอยู่บ้าง เช่น วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) ย่านเยาวราช วัดโพธิ์แมน แถวสาธุประดิษฐ์ ซอย 19
สิ่งหนึ่งที่เห็น คือ การสร้างวัดจีนทั้งหลาย มักจะมีแบบหรือคอนเซปต์ที่เหมือนๆ กัน ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ไปวัดไหนก็จะเห็นอะไรคล้ายๆ กัน เช่น องค์พระในวิหาร ทุกที่มีเหมือนกัน
รูปอาจจะต่างกันบ้างนิดหน่อยขึ้นกับผู้สร้าง คือ ช่าง รวมถึงตำแหน่งประดิษฐานที่อาจไม่ตั้งตรงจุดเดียวกัน ซึ่งนั่นก็ไม่ทำให้เสียคอนเซปต์แต่อย่างใด
องค์ซ้ายสุดจะเป็นอดีตพุทธ หรือพระพุทธเจ้าในอดีต องค์กลาง คือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ส่วนองค์ขวาเป็นอนาคตพุทธ หรือพระพุทธเจ้าในอนาคต ถัดมาก็จะเป็นรูปพระ 2 องค์อยู่ข้างละองค์ของพระพุทธเจ้า
นี่คือสิ่งที่พอทราบอยู่บ้าง แต่ที่ทราบเพิ่มเติม คือ การสร้างพระพุทธรูปที่เป็นองค์พระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นี้ เพื่อจะสื่อถึง “กฎแห่งกรรม” ได้แก่ กรรมในอดีตจะต้องส่งผลถึงปัจจุบัน และกรรมในปัจจุบันจะต้องไปเสวยในอนาคต
อีกสิ่งหนึ่งที่เข้าใจผิดมาตลอด คือ รูปของพระเถระที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า 2 องค์ ซึ่งประดิษฐานในท่ายืนข้างละองค์ของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 ได้แก่ พระมหาโมคคัลลานะ และพระสารีบุตร
พระมหาโมคคัลลานะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า เป็นพระอสีติมหาสาวกผู้เป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีฤทธิ์มาก เป็นรองแค่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว
พระสารีบุตร คือ อัครสาวกเบื้องขวา ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่ามีปัญญามาก สามารถแสดงธรรมกว้างขวางพิสดารเสมอพระองค์
ทุกครั้งที่มีภิกษุมาทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อจะเที่ยวจาริกไปในที่ต่างๆ พระพุทธเจ้ามักจะตรัสให้ภิกษุเหล่านั้นไปลาพระสารีบุตรก่อนเพื่อให้พระสารีบุตรได้สั่งสอน
นอกจากนี้ ยังได้รับการยกย่องเป็น “พระธรรมเสนาบดี” คือเป็นผู้นำทัพธรรมไปประกาศเผยแผ่ศาสนาในที่ต่างๆ ไปถึงที่ไหน ก็ทำให้เกิดประโยชน์และความสุขที่นั่น และท่านยังมีความกตัญญูเป็นเลิศด้วย
นี่คือความเข้าใจผิด คิดว่าเป็น 2 องค์นี้ แต่พอฟัง อ.วิโรจน์ เล่า จึงได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดมาตลอด เพราะคิดเอาเองว่า วัดจีนกับวัดไทย ก็คงเหมือนกัน
แต่ที่ถูกต้องคือ พระอานนท์ และพระมหากัสสปะ ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีก็จะเห็นชัดว่า องค์หนึ่งนั้นดูหนุ่มกว่า อีกองค์หน้าตาจะแก่กว่ามากโดยสังเกตจากรอยย่นบนใบหน้า
และที่วัดขวาถินแห่งนี้ พระที่ยืนอยู่ด้านขวามือของพระพุทธเจ้า หรือด้านซ้ายมือเรา หน้าตาหนุ่มกว่าไม่มีรอยย่นบนใบหน้า ได้แก่ พระอานนท์ ส่วนด้านซ้ายมือพระพุทธเจ้าหรือขวามือของเรา หน้าตาปรากฏรอยย่นชัดเจน คือ พระมหากัสสปะ
ที่ต้องเป็นพระอานนท์และพระมหากัสสปะ ไม่ใช่พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ อ.วิโรจน์ให้เหตุผลว่า เพราะพระศาสนาจะตั้งอยู่ยืนยาวนั้นพระธรรมจะต้องอยู่ถ้าพระธรรมสูญสิ้น พระพุทธศาสนาก็ต้องอันตรธานด้วย
และพระเถระสองรูปนี้ ถือเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าตั้งมั่นอยู่ถึงวันนี้ โดยพระอานนท์ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าถึง 5 ประการ มีสติ มีธิติ (จำแม่น) มีความเพียรดีเป็นพหูสูต และเป็นยอดของภิกษุผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า มีบทบาทสำคัญในการสังคายนาธรรมวินัยครั้งแรกโดยเป็นผู้สาธยายพระสูตร
ส่วนพระมหากัสสปะ ท่านเป็นประธานสงฆ์ในการทำสังคายนาธรรมวินัยครั้งแรก ซึ่งทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้าเจริญมั่นคงถึงวันนี้
ท่านยังเป็นพระที่มีความสำคัญในงานถวายพระเพลิงพระศพพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่ทราบว่าพอพระพุทธเจ้าปรินิพพานมีการถวายพระเพลิงพระศพ แต่ว่าไม่ไหม้ ครั้นพอพระเถระมาถึงและกราบพระบาทเสร็จพระสรีระก็ลุกไหม้เอง


