posttoday

หลวงพ่อสมคิด อจโล จากใบไม้ร่วง ถึงน้ำตาร่วง

26 มกราคม 2557

เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ มีคณะศรัทธาพิมพ์หนังสือออกมาเล่มหนึ่ง

เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ มีคณะศรัทธาพิมพ์หนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อ “อัตโนประวัติ ปฏิปทา และพระธรรมเทศนา หลวงพ่อสมคิด อจโล”

นาม หลวงพ่อสมคิด อจโล อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างสำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป แต่ผู้สนใจในการปฏิบัติและใส่ใจในพระสุปฏิปันโนแล้ว เรื่องราวของหลวงพ่อสมคิดเป็นอีกหนึ่งในพระป่าร่วมสมัยที่ควรศึกษาเพื่อให้ได้ปัญญาและกำลังใจในการปฏิบัติภาวนา โดยเฉพาะผู้บวชเมื่อแก่

หลวงพ่อสมคิด อจโล เกิดเมื่อวันที่ 14 มี.ค. ปี พ.ศ. 2489 ที่บ้านผักบุ้ง ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ปัจจุบันอายุ 68 ปี แม้ขณะนี้จะยังอายุไม่มากแต่ท่านมาบวชเอาเมื่อแก่คือ อุปสมบทขณะอายุ 50 ปี

ไม่มีใครสายเกินบวช แต่การบวชเมื่อแก่นั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ผู้บวชเมื่อแก่ ที่ประกอบด้วยธรรม 5 ประการหาได้ยาก กล่าวคือ “ผู้บวชเมื่อแก่ที่ว่าง่าย หาได้ยาก ผู้บวชเมื่อแก่ที่รับฟังโอวาทด้วยดี หาได้ยาก ผู้บวชเมื่อแก่ที่รับโอวาทด้วยความเคารพ หาได้ยาก ผู้บวชเมื่อแก่ เป็นพระธรรมกถึก หาได้ยาก ผู้บวชเมื่อแก่ เป็นผู้ทรงพระวินัย หาได้ยาก”

หลวงพ่อสมคิดเป็นหนึ่งในจำนวนที่หาได้ยากนั้น

หลวงพ่อสมคิด อจโล จากใบไม้ร่วง ถึงน้ำตาร่วง

 

ชีวิตทางโลกของหลวงพ่อสมคิด มีจังหวะทำนองคล้ายกับคนหนุ่มในชนบทจำนวนไม่น้อย คือ ทำไร่ทำนาช่วยพ่อแม่หาเลี้ยงครอบครัวซึ่งประกอบด้วยพี่น้องทั้งหมดถึง 11 คน ต่อมา พ่อแม่ซื้อรถให้เพื่อไปวิ่งรับผู้โดยสารตามเส้นทาง บ้านผือท่าบ่ออุดรธานี วิ่งหากินอยู่อย่างนั้นกระทั่งวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุพลาดพลั้งทำให้ถึงกับถูกขังอยู่ในสถานกักกันเป็นเวลาถึง 2 ปี คือ ระหว่าง พ.ศ. 2514-2516

ท่านต่างจากคนหนุ่มหลายคนตรงที่ เมื่อตกไปอยู่ในสถานกักกันแล้ว แทนที่จะได้วิชาโจรกลับได้วิชาพระออกมา

ท่านว่า ระหว่างต้องขังนั้นวันหนึ่งมีครูมาเล่าประวัติพระพุทธเจ้าตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพาน เพื่อนๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะฟังกันอยู่นั้นมีแต่พวก “ขี้หูดสามานย์” แต่ตัวท่านเองนั้นฟังแล้วน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งและพุทธประวัติก็ทำให้กระจ่างว่า ที่ตนเองเกิดมาเช่นนี้และประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้เป็นแต่ผลกรรมของตนนั่นเอง

เมื่อเข้าใจเช่นนั้นแล้วจึงตั้งใจมั่นว่า ออกไปจากสถานกักกันแล้วจะไม่กลับมาอีก จะทำแต่คุณงามความดี

สองปีท่านก็พ้นโทษออกมา ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินจนเก็บเงินได้ 5,000 บาท ก็แต่งงานจนมีบุตร 2 คน และสร้างฐานะจนมีไร่มีนาเป็นของตัวเอง

ในวัยหนุ่มนั้นหลวงพ่อสมคิดเคยบวชมาแล้วพรรษาหนึ่ง และเคยลิ้มรสชาติของดอกผลการภาวนามาเล็กน้อย ท่านว่า ครั้งหนึ่งพอพระอาจารย์นำนั่งภาวนา ท่านจิตสงบลงกระทั่งร่างกายมันหายไป ในความรู้สึกนั้นเหมือนหูดับไม่ได้ยิน แต่ก็ไม่ได้สานต่ออะไรกระทั่งปี 2535 ท่านก็พาลูกชายไปบวชกับลูกศิษย์ของหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ รูปหนึ่งที่ บ้านนางิ้ว ต.นางิ้ว อ.สังคม จ.หนองคาย

พอลูกชายไปบวชก็ได้เข้าวัดได้ไปอุปัฏฐากพระสงฆ์องค์เจ้า แล้วก็เกิดความรู้สึกอยากเข้าวัดเกิดขึ้น

หลวงพ่อสมคิด อจโล จากใบไม้ร่วง ถึงน้ำตาร่วง

 

สิ่งที่ทำให้คิดผินหลังให้ทางโลกอย่างแท้จริงนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่งไปไขน้ำเข้านาแล้วนั่งดูสายน้ำอยู่ริมเหมืองฝาย พอเห็นใบไม้ร่วงหล่นลงน้ำ ไหลไปตามกระแสแล้ววาบขึ้นมาว่า “เรานี้เกิดมาแล้วก็เหมือนใบไม้ที่ร่วงลงมาน้ำนี่ ก็ไหลไปมนุษย์เกิดมาแล้วก็ตายไปก็ไม่ได้อะไรเลย...”

เมื่อแสงแห่งปัญญาโรจน์ขึ้น อะไรๆ ก็พร่างพรูออกมา

“...อ๊าว แล้วเราทำนาอยู่ที่นี่ นานี้ก็เป็นนาของคนอื่น ถ้าเรามาซื้อเราก็ถือว่า เป็นนาเรา ถ้าเราไม่ซื้อก็ถือว่าเป็นนาเขา แต่ผืนดินนี้มีอยู่อย่างนี้มาแต่ไหนๆ ใครมาอยู่ก็ถือว่าเป็นของใครของมัน แท้ที่จริงแล้วมันไม่มีเจ้าของเลย แล้วเราก็มาทำอยู่อย่างนี้ตลอดไป ปีนี้เราก็มาถาก ปีนั้นเราก็มาถาง ก็มาป้านคันนาทุกปี แล้วก็พังลงทุกปี อ๊าว แล้วทำเพื่ออะไรล่ะนี่ คนอยู่ที่ไหนก็ทำแบบนี้ ชีวิตเราก็เหมือนคันนานี่แหละป้านขึ้นปีนี้ปีหน้ามันก็พังลง ชีวิตเราก็จะดับไปเหมือนกันเช่นกัน แล้วแผ่นดินนี้ก็อยู่อย่างนี้ โอ้ แสดงว่า พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายมานี่น่ะ ก็ทำกันมาอย่างนี้ตลอดไป ผลสุดท้ายไม่มีผู้ใดเอาไปได้...”

ค่ำวันนั้นท่านหยิบเอาหนังสือชีวประวัติหลวงปู่เหรียญออกมาอ่าน บางถ้อยคำในนั้นยิ่งทำให้สัจธรรมเผยตัวยิ่งขึ้น

นับแต่นั้นมา พอตกค่ำแล้วท่านก็เปิดหนังสือหลวงปู่เหรียญ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ศึกษาอยู่เรื่อยมา

มีอยู่วันหนึ่ง อ่านเทศนาของหลวงปู่เทสก์ที่ว่า การเลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย เลี้ยงบุตรธิดา เลี้ยงบ้านเลี้ยงเมืองนั้นเป็นแต่การสงเคราะห์กันและอาศัยซึ่งกันและกันไปจนวันตายเท่านั้น ไม่ได้เป็นการทำบุญทำกุศลอะไรเพราะการทำบุญทำกุศลในพุทธศาสนานั้นนับแต่การให้ทาน รักษาศีลขึ้นไป ลำพังเห็นสัจธรรมนี้แล้วทำให้รู้สึกสดหดหู่อยู่แล้ว พอดีภริยาตื่นขึ้นมาแล้วถามท่านว่า อ๊าว มาอ่านหนังสือทำอะไรอยู่อีก ทำไมไม่หลับไม่นอน ไม่รู้รึไงว่าค่าไฟมันแพง

หลวงพ่อสมคิด อจโล จากใบไม้ร่วง ถึงน้ำตาร่วง

 

เท่านั้นเองท่านก็ลงใจได้ว่า อ่านหนังสือนี่ก็อ่านหนังสือธรรมะ ยังจะมาว่าค่าไฟแพง ทรัพย์ท่านก็เป็นคนหามา ฉะนั้น ต่อไปนี้ไม่วันใดก็วันหนึ่งเห็นทีจะต้องแยกจากกันเสียแล้ว

แม้จะประกอบอาชีพการงานต่อมาเป็นปกติแต่เมื่อสัจธรรมเผยตัวให้เห็นเสียแล้ว ไม่ว่าจะคิดพิเคราะห์อะไรมันก็กลายเป็นธรรมไปหมด

คืนหนึ่งท่านพลันรู้สึกขึ้นมาว่า อะไรๆ ก็ทำมาหมดแล้วลูกเต้าก็เติบโตกันหมดแล้ว ส่วนพระพุทธองค์นั้น สละเรือนจากลูกไปตั้งแต่ลูกยังแบเบาะ แล้วเมื่อไหร่เราจะไป ประจวบกับก่อนหน้านั้นไม่กี่วันท่านเพิ่งฝันเห็นว่าตัวเองตาย พิจารณาทบทวนดูแล้วเห็นว่า เวลาไม่รอท่าจึงตัดสินใจลุกขึ้นแต่งตัว แล้วค่อยๆ เปิดประตูออกจากเรือนมา เดินตามทางมาได้สัก 7 กิโลเมตร ภรรยาก็เหมามอเตอร์ไซค์รับจ้างวิ่งตามมา

เธอถามท่านว่า ถ้าจะไปบวชจริงๆ ได้จัดการเรื่องต่างๆ เสร็จแล้วหรือ เขตไร่เขตนาอยู่ที่ไหน ใครจะรู้ หนี้ ธ.ก.ส.ก็ยังมีอยู่ ลูกเต้าก็ยังไม่ได้บอก ท่านว่าฟังแล้วก็รู้สึกผิดเลยหวนคืนกลับบ้าน

เวลานั้นยืดออกมาจนถึงราวๆ ปี 2537 ย่าง 2538 วันหนึ่งท่านก็ผุดลุกขึ้นมานั่งกลางดึก เปิดไฟขึ้นกะว่าจะออกไปนั่งสูบบุหรี่เพื่อคิดใคร่ครวญว่า ไอ้ที่ตั้งใจจะไปบวชนั้นจะไปได้หรือไม่ แต่พอเหลียวไปเห็นภรรยานอนอยู่ก็เลยวางถุงบุหรี่แล้วหันไปดูภรรยา ขณะครุ่นคิดไปว่า ถ้าเขาตายเราก็ครองสมบัติอยู่คนเดียว ถ้าเราไปก็เหมือนยกสมบัติให้ลูกเมีย คิดไปพิจารณาไปปรากฏว่า ภาพของภรรยาที่มองเห็นจากนอนอยู่เฉยๆ นั้นพอง อืดขึ้น จนร้าวแตกน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาให้เห็นกับตา แม้จะขยี้ตามองใหม่ภาพนั้นก็ยังปรากฏอยู่เช่นเดิม

พอปลุกภรรยาขึ้นมาแล้วบอกว่า นอนยังไงไม่อายเทวดารึ ท่านพิจารณาดูหมดแล้ว ไม่ได้ชื่นชมร่างกายของเธออีกต่อไป เธอก็ว่าท่านเป็นบ้าไปแล้วรึ คนนอนหลับนอนฝันมันจะรู้อะไร ว่าแต่เป็นบ้าไปแล้วรึไง ได้แต่อวดโน่นอ้างนี่

“คนทั้งหลายในโลกนี้มันก็ตายอยู่ในนี้แหละมันไปไหนไม่ได้หรอก” เธอว่า

เมื่อได้ฟังแล้วท่านว่าสิ่งที่คิดอยู่ในใจขณะนั้นคือ “โอ๋ มึงท้าทายกูหรือนี่ วันนี้ล่ะ กูจะไปจากมึง” คิดแล้วจึงออกปากบอกภรรยาทันทีว่า เออ...ถ้าอย่างนั้น วันนี้ล่ะที่ท่านจะจากไปเพราะทุกอย่างก็จัดการหมดแล้ว ว่าแล้วก็แต่งตัวออกมารอเวลารุ่งสาง ขณะออกมารอเวลาที่หัวบันไดเรือนพลางคิดไปเรื่อยว่าจะไปบวชที่ไหน อย่างไร ท่านว่าเวลานั้นไม่ได้หลับแต่หูก็ไม่ได้ยิน ร่างกายก็ไม่ปรากฏ พอรู้สึกตัวอีกทีภรรยาลงไปซักผ้า ลูกสาวก็ไปลงข้าวแล้ว

ท่านออกจากบ้านโดยสั่งเสียลูกเมียว่าไม่ต้องไปตามถ้า 10 วันแล้วอยู่ไม่ได้จะกลับมา แต่ถ้าเลย 10 วันก็จะไม่กลับมาอีกแล้ว

ท่านสละทางโลกเข้าสู่สมณเพศเมื่อวันที่ 29 พ.ย. พ.ศ. 2538 ณ วัดบึงพลาราม ต.บ้านว่าน อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย

จะด้วยบุญกุศลแต่ปางก่อนถ้าสั่งสมมาหรือจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ การภาวนาของหลวงพ่อสมคิดนั้นโลดโผนตั้งแต่มาถึงวัดวันแรกแล้วโกนผมออกนุ่มห่มเป็นผ้าขาว

วันแรกนั้น ท่านอาศัยในกุฏิร้างซึ่งมีเสาเพียงสี่เสาพอได้แคร่ตัวหนึ่งก็เอาผ้าสบงเก่ามาล้อมเป็นกุฏิตักน้ำมาอาบที่เหลือใส่ไหไว้แล้วเดินจงกรมจนมืดแล้วเข้าที่นั่งสมาธิภาวนาพุทโธๆๆ ท่านว่าจู่ๆ มันหายวูบเหมือนตกลงไปในบ่อน้ำแต่ยังไม่ถึงก้นบ่อ ความรู้สึกตกใจนั้นทำให้ถึงกับร้องออกมาทันที

หลังจากนั้นมาตั้งหลักใหม่ พอภาวนาอีกทีร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พอพุทโธไปเรื่อยๆ ก็เหมือนหัวปักลงก้นชี้ฟ้า ภาวนาไปกระทั่งไปสู่ความเวิ้งว้าง เพลิดเพลินอยู่ด้วยความสุข แล้วจึงออกมา

พอเป็นพระภิกษุแล้ว ภาวนาๆ มาไม่ทันจะได้พรรษาแรกเลยวันหนึ่งเดินจงกรมจนเมื่อยแล้วก็ยืนพุทโธอยู่ๆ ร่างกายก็ดับ แล้วเกิดนิมิตเห็นเพื่อนภิกษุในวัดนอนตายอยู่ กำหนดจิตไปดูคนไหนก็มองเห็นเป็นผีไป ฯลฯ พอรู้เห็นสิ่งโน้นนี้มากขึ้น ครูบาอาจารย์ที่อยู่ที่วัดก็แนะให้ไปอยู่ที่วัดดอนกรรมซึ่งเจ้าอาวาสเป็นนักภาวนา เป็นศิษย์ของหลวงตามหาบัวเพราะท่านน่าจะชี้แนะอะไรได้มากกว่าที่อยู่ที่นี่

วันแรกที่วัดดอนกรรมก็เช่นเดียวกัน ขณะที่เดินภาวนาพุทโธๆ อยู่เพราะ “เฮ็ดหยังก็บ่เป็น ใช้ปัญญาก็บ่เป็น เพราะบ่มีไผสอน” ก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า พุทโธอยู่อย่างนี้จะรู้อะไร ให้พิจารณาสิ พอว่าแล้วจะพิจารณาอย่างไร ก็เกิดความรู้ขึ้นมาว่า “อริยสัจ 4 สิ”

พอทุกข์มันเป็นอย่างไร สมุทัยเป็นอย่างไร นิโรธ มรรคเป็นอย่างไรความรู้ก็ผุดขึ้นมา

บางถ้อยคำนั้นมีว่า “นิโรธล่ะ? เอ้า..นิโรธเพิ่นก็ว่า วาง...”

“มรรคล่ะ? อ้าว รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธแล้ว มันก็เป็นตัวมรรคซิตั๊ว โอ๋ ...บาทนี้กูเป็นมรรคแล้วเด๊นี้หนิ ต่อไปกูก็ยังผลเท่านี้ตั๊ว...”

ในพรรษาปี 2541 ท่านภาวนาแล้วเห็นพระร่วมวัดเป็นแต่โครงกระดูก และไม่กี่วันถัดมา ขณะนั่งฉันน้ำปานะและพูดคุยกับเพื่อนพระภิกษุอยู่พลันหันไปดูโยมที่อยู่ใต้หอฉันก็เห็นแต่ละคนเป็นโครงกระดูกไปหมด ขยี้ตาแล้วมองใหม่ก็เห็นเป็นอยู่อย่างนั้น เห็นเป็นโครงกระดูกยกแก้วอยู่อย่างนั้น

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา