ณเดชน์ คูกิมิยะ ขาขึ้น ขาลง เรียนรู้ เข้าใจ
ชีวิตคนเราเมื่อขึ้นถึงจุดสูงสุด จะสามารถอยู่ในจุดที่สูงที่สุดนั้นได้เนิ่นนานเพียงใด จะอยู่ไปตลอดกาลได้หรือไม่
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร
ชีวิตคนเราเมื่อขึ้นถึงจุดสูงสุด จะสามารถอยู่ในจุดที่สูงที่สุดนั้นได้เนิ่นนานเพียงใด จะอยู่ไปตลอดกาลได้หรือไม่ นี่อาจเป็นคำถามที่หากไปถามคนดังระดับซูเปอร์สตาร์ ที่ผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากมาย เขาอาจมีคำตอบที่ตอบได้อย่างจริงใจและชัดเจน แต่หากนำคำถามนี้ไปถามผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมีรูปเป็นทรัพย์อย่าง “แบรี่ณเดชน์ คูกิมิยะ” ที่เข้าวงการมาได้เพียง 4 ปี แต่เป็น 4 ปีที่ “ดังสุดขีด” “รวยสุดขีด” และก็ “เรื่อยๆ แบบสุดขีด” จนใครหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า...เขากำลังอยู่ในช่วงขาลงหรือเปล่า เขาคงมีคำตอบที่น่าสนใจอยู่มิใช่น้อย เพราะมันเป็นคำตอบของคนที่เพิ่งเข้าวงการบันเทิงมาได้ประมาณหนึ่ง และยังจำเป็นต้องอยู่ต่อไปให้ได้อีกนานที่สุดเท่าที่จะนานได้
วันนี้ เวลานี้ คือเวลาที่ชายหนุ่มผู้นี้จะนั่งพูดคุยกับเราแบบเปิดอก
“ชีวิตช่วงนี้ก็ดีครับ ราบรื่นไปเรื่อยๆ ราบรื่นแบบอยู่ตัว ไม่ได้มีอะไรที่ต้องกังวล เรียกว่าอยู่ในระดับที่ดีครับ”
แม้ณเดชน์จะยืนยันกับเราว่า ชีวิตของเขาอยู่ตัวดี แต่เขาก็หลีกหนีไม่พ้น ที่จะถูกจับตาจากพี่ๆ สื่อมวลชนว่า ก่อนหน้านี้เขาไต่ขึ้นที่สูงจนอยู่ในระดับที่พีกที่สุด แต่เมื่อรอบปีที่ผ่านมา เขากลับอยู่ในช่วงเงียบฉี่ เพราะมีหนุ่มหล่อน้องใหม่อย่าง “เจมส์ จิรายุ” ดังขึ้นแท่นเป็นซูเปอร์สตาร์ด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว จนนำมาสู่คำถามที่ว่า เขาคิดว่าตอนนี้เขายังพีกอยู่มั้ย
“ตอนนี้ผมยังพีกอยู่มั้ย ผมว่าผมไม่ได้ไปยึดติดกับคำว่าพีกนะ ผมก็ทำหน้าที่เอนเตอร์เทนและให้ความสุขกับคนไทยทุกคนอยู่เหมือนเดิม ผมไม่ได้กังวลว่าทำไมเดี๋ยวนี้เราไม่ดังหรือไม่พีกเหมือนเมื่อก่อน ผมว่าประเด็นนี้อาจเป็นสิ่งที่คนจับตามองและคอยเปรียบเทียบเรากับพระเอกน้องใหม่ รวมทั้งตั้งประเด็นกันอยู่ตลอดเวลา เอาเป็นว่า ถ้าเราไม่ได้เครียดกับเรื่องนี้ มันก็ไม่ได้มีผลกระทบกับเราสักเท่าไหร่ นี่ผมพูดจากใจจริงเลยนะ ไม่ได้แกล้งพูด”
สำหรับณเดชน์ เขาอาจอยู่ในจุดที่มาเร็ว แรงเร็ว ดังเร็ว รวยเร็ว แต่ก็ต้องค้นพบจุดที่ว่า ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ทุกคนมีขาขึ้น ก็ต้องมีขาลง
“กับสัจธรรมขาขึ้นขาลง ผมก็ได้เรียนรู้จากพี่ๆ ในวงการบันเทิงว่า มันก็เป็นอย่างนี้แหละ หากเราขึ้นมาสู่จุดสูงสุด เราก็ต้องกล้าหาญเดินทางสู่สามัญได้ ขอเพียงระหว่างทางที่เดินไป เราต้องไม่หลงระเริง เราต้องทำหน้าที่นี้ด้วยความนอบน้อม เราก็จะยังอยู่วงการนี้ได้ไปตลอด แต่ถ้าเราหลงระเริง เราอาจจะต้องเฟดตัวออกไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง”
แม้เขาจะอยู่ในจุดที่กำลังเรียนรู้จากพี่ๆ ในวงการบันเทิง แต่เชื่อแน่ว่าการเรียนรู้นี้จะทำให้เขามองเห็นอะไรบางอย่างได้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งมองเห็นก้าวเดินต่อไปได้มากขึ้น
“ถามผมว่า ปี 2557 นี้ จะยังเป็นปีทองของผมมั้ย ผมคิดว่าทุกปีก็เป็นปีของผมนะ ผมไม่ได้ยึดติดเรื่องปีนี้ปีทองของผม หรือเป็นปีทองของใคร ผมก็ทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดทุกปี เมื่อไหร่ที่ผมคิดอย่างนี้ผมก็สบายใจนะ ส่วนจะมีหมัดเด็ดอะไรมั้ย คงไม่ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นหมัดเด็ดหรอกครับ เอาเป็นว่าผมจะมีละครที่เล่นกับญาญ่า มาริโอ้ และแต้ว ณัฐพร เรื่อง รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน เป็นละครที่คนดูต้องห้ามพลาดดีกว่า (หัวเราะ) แล้วก็ยังจะมีละครที่เล่นกับน้องแพทริเซีย กู๊ด เรื่อง ลมซ่อนรัก ส่วนภาพยนตร์ ยังไม่มีครับ”
ในส่วนวงการบันเทิง ณเดชน์ได้แสดงทัศนะไว้ว่า เมื่อก้าวเข้าสู่ปีใหม่แล้ว ย่อมต้องมีอะไรใหม่ๆ เป็นธรรมดา
“ผมคิดว่าละครไทยจะเข้มข้นขึ้นมาก โดยเฉพาะเรื่องบท เพราะบทดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ในส่วนของนักแสดง ทุกคนก็เต็มที่กับการแสดงแบบสุดตัวมากขึ้น ในส่วนของภาพที่จะฉายออกไป ก็คงจะมีเรื่องของความคมชัดมากขึ้น มุมภาพแปลกใหม่ และยังมีอุปกรณ์การถ่ายทำที่อำนวยให้ละครแปลกหูแปลกตามากขึ้น ซึ่งเป็นไรของคนดูล้วนๆ ครับ”
หากตั้งคำถามเกี่ยวกับการบ้านการเมือง ว่าปี 2557 นี้ เขาอยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างไร ชายหนุ่มผู้นี้ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ถ้าหลายๆ เรื่องที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ได้เรื่องคลี่คลายลงไป มันก็คงถึงเวลาแห่งการฟื้นฟู
“ผมว่าเมืองไทยมีอะไรที่น่าสนใจเยอะ มีดีเยอะ ไม่เฉพาะแค่ที่กรุงเทพฯ อีกหลายจังหวัดก็มีเสน่ห์ในตัวมันเอง ขอเพียงเราทุกคนช่วยกันรักษาความสะอาด ทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง เคารพกฎจราจร เคารพสิทธิเสรีภาพและแนวคิดของกันและกัน บ้านเมืองก็จะน่าอยู่มากขึ้นกว่าเดิมครับ”
ในฐานะที่ณเดชน์กำลังอยู่ในวัยเล่าวัยเรียน อีกทั้งเพิ่งมีอายุครบ 22 ปี เมื่อ 17 ธ.ค. 2556 ที่ผ่านมา ณเดชน์เผยว่า ตอนนี้เรื่องการเรียนที่มหาวิทยาลัยรังสิต สาขาวิชาการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เหลือเพียงทำวิทยานิพนธ์เท่านั้นก็จะจบอย่างสมบูรณ์
“วิทยานิพนธ์ของผม ผมกำลังคิดอยู่ว่า ผมจะทำหนังตลกๆ ที่ไม่ใช่รักโรแมนติกอย่างเดียวดีหรือเปล่า หรือทำหนังแฟนตาซีเหนือจริง เช่น นางเอกเป็นทาร์ซาน หรือเป็นผีเสื้อสมุทร หรือเอาวรรณคดีไทยมาประยุกต์ ซึ่งก็คงต้องดูต่อไป โดยส่วนตัวผมอยากทำอะไรที่แปลกใหม่แต่ยังคงซึ่งสาระต่อคนดู ไม่ได้ดูแล้วตลกหรือแฟนตาซีเพียงอย่างเดียว ถามว่าเขียนบทเอง กำกับเอง และเล่นเองมั้ย ผมคงทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ และมีคนมาช่วยเขียนบท ส่วนจะเล่นเองมั้ยคงต้องหาคนอื่นมาเล่นให้ได้ก่อน แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องเล่นเอง แล้วหาคนมาช่วยกำกับครับ”
สำหรับความรัก 4 ปีที่ผ่านมาในวงการบันเทิง เขาอาจมีข่าวเรื่องความรักกับนางเอกคู่ขวัญอย่างญาญ่า อุรัศยา มาโดยตลอด ยิ่งมีข่าวว่ามีการหึงหวงกัน ถึงขั้นปาดอกไม้ที่หนุ่มไฮโซคนหนึ่งมอบให้สาวญาญ่า งานนี้ณเดชน์เผยว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
“ข่าวนี้นานมาแล้วนะ ไม่มีอะไรหรอกครับ กับญาญ่าเราก็เป็นพี่เป็นน้องที่ดีต่อกัน เราเพิ่งไปทำบุญขึ้นปีใหม่ที่จ.กาฬสินธุ์ด้วยกันมา ก็อิ่มบุญกันไปครับ”
ในส่วนของความรัก ณเดชน์ขอพูดแบบไม่มีหัวโขนของการเป็นพระเอกหรือเป็นซูเปอร์สตาร์แต่พูดในมุมของมนุษย์ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น “ในมุมของผม ผมคิดว่า ถ้าตอนนี้ผมจะมีความรัก ผมก็มีได้ ใช้ชีวิตปกติธรรมดาได้ ออกไปกินข้าว ไปไหนมาไหนกับคนรักของผมได้”
แม้ในมุมมองของเขา เขาอยากจะให้เป็นเช่นนั้น แต่แน่นอนว่ามันย่อมขัดกับความเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ทุกคนต่างจับตาเฝ้ามอง แถมยังมีแฟนคลับที่ถือเป็นปราการด่านแรกที่เมื่อเขามีแฟน แฟนคลับอาจยอมรับ หรือต่อต้านก็ได้
“ผมคงต้องอธิบายให้แฟนคลับเข้าใจ ให้เขาเห็นว่าพื้นที่ชีวิตของเรา นอกจากเป็นของเขาส่วนหนึ่ง มันต้องมีพื้นที่ที่เป็นของเราแบบส่วนตัวอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมด ทุกวันนี้ผมต้องขอบคุณแฟนคลับที่ถนอมความรู้สึกของผมมาโดยตลอด เขาให้ใจกับผมเยอะมาก ให้เวลากับผมด้วย สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดคือให้เวลาเขา ถ่ายรูปกับเขา จัดงานมีตติงกับเขา ให้ใจกับเขาเท่าที่เราให้ได้”
ในส่วนของการที่นักแสดงบางคน เมื่อมีแฟนก็ทำไปตามหัวใจ กล้าเปิดเผย ไม่สนใจความรู้สึกของแฟนคลับ ณเดชน์ให้ความเห็นไว้เพียงเล็กน้อยว่า มันขึ้นอยู่กับนิสัยของคนมากกว่า
“เอาเป็นว่านักแสดงกับการมีความรักและกับการถนอมความรู้สึกของแฟนคลับมันต้องไปด้วยกันแบบสมดุล ไม่มากไปและไม่น้อยจนเกินไป”
เมื่อพูดถึงความรัก ชายหนุ่มผู้นี้ถูกตั้งคำถามแบบจู่โจมว่า สาวผู้โชคดีคนนั้นคือนางเอกสาวคู่ขวัญหรือเปล่า หรือใครกันแน่ เขาได้แต่ยิ้ม ยิ้ม แล้วก็ยิ้ม
“ที่แน่ๆ ผมมีความรักให้คุณแม่ครับ แม่เป็นคนที่คอยห่วงผม และไม่ว่าลูกจะทำถูกหรือทำผิด แม่ก็จะคอยเตือน คอยให้คำแนะนำ คอยใส่ใจ ไม่สบาย ก็ดูแลเป็นอย่างดี แถมยังคอยถ่ายรูปลงอินสตาแกรมให้แฟนคลับได้ดูอีกด้วย (หัวเราะ) ตอนนี้คุณแม่กับคุณพ่อก็มาอยู่กับผมที่กรุงเทพฯ แล้ว ส่วนจะให้เมาท์คุณแม่เหรอครับ ไม่มีครับ (หัวเราะ)”
หากถามถึงกิจกรรมสุดโปรดของชายหนุ่มผู้นี้ เขาเผยว่า เขาเป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้ ตื่นเช้ามาจะต้องไปเล่นเวคบอร์ด ซึ่งเป็นกีฬาทางน้ำประเภทหนึ่งที่จัดอยู่ในพวกกีฬาผาดโผนหรือเอ็กซ์ตรีม
“ที่ชอบเล่นเวคบอร์ด เพราะบ้านเรามันร้อน ถ้าได้ลงน้ำมันสดชื่น แล้วเวคบอร์ดมันเป็นกีฬาที่สนุก แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องอันตราย แต่เล่นเวคบอร์ดนี่ทำให้ตัวดำหน้าดำได้นะ ผมก็ต้องคอยเล่นแบบพอดีๆ ไม่มากจนเกินไป (หัวเราะ) นอกจากนั้นก็มีฟิตเนส ตีแบดมินตันบ้าง และชอบหาของกินอร่อยๆ ตามร้านต่างๆ ผมชอบตระเวนหาของกินอร่อยๆ คนเดียว ชอบเดินทางลุยๆ ชอบขับรถเล่น ชอบขี่มอเตอร์ไซค์เล่น ถ้าว่างก็จะไป ตอนนี้มีอีกหลายอย่างที่อยากเล่นแต่ยังไม่ได้เล่น เช่น กระโดดร่ม หรือบันจี้จัมพ์”
ในส่วนของเส้นทางในวงการบันเทิง แน่นอนว่าก้าวเดินระยะไกลของเขาย่อมต้องมีการโกอินเตอร์เหมือนที่พระเอกหนุ่มหลายคนได้ก้าวเดินไป ณเดชน์เผยว่า ถ้ามีโอกาสก็เป็นเรื่องที่ดี
“การก้าวสู่การเป็นนักแสดงในระดับสากลมันเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันเปิดกว้างในเรื่องหน้าที่การงานของเรา แต่สำหรับผม ผมว่าผมอยู่ตรงนี้ผมก็แฮปปี้พอใจนะ ผมไม่ได้เป็นคนค้นคว้าขวนขวายขนาดนั้น แต่ถ้ามีโอกาสหยิบยื่นให้มา ผมก็ยินดีรับไว้นะ”
สำหรับนักแสดงในดวงใจของชายหนุ่มผู้นี้ ณเดชน์เผยว่า ต้องยกให้ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ นก ฉัตรชัย และนก จริยา
“พี่สามคนนี้เป็นไอดอลทางการแสดงของผมเลย พี่ๆ ทำให้ผมได้ตระหนักอยู่เสมอว่าการเป็นนักแสดงที่ดีต้องเล่นได้ทุกบทบาท ไม่ว่าบทไหนต้องแสดงได้หมด ถามว่า ตอนนี้ผมอยากเล่นบทอะไร แน่นอนครับ ผมอยากเล่นบทร้าย อยากเล่นบทที่มันเข้มข้น เพราะผมไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องเล่นบทพระเอกเพียงอย่างเดียว เล่นบทนี้แล้วจะต้องเล่นบทอะไรไม่ได้เลย ไม่ใช่ครับ พระเอกกับนักแสดง ผมเลือกเป็นนักแสดง และตอนนี้ ผมก็คือ นักแสดงคนหนึ่งเท่านั้น”


