กุฎาธาร นาควิโรจน์ ทำธุรกิจอย่าลืมดูแลสังคม
การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในสังคมถือเป็นนโยบายที่บริษัทใหญ่ๆ
โดย...อนุสรา ทองอุไร ภาพ ประกฤษณ์ จันทะวงษ์
การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในสังคมถือเป็นนโยบายที่บริษัทใหญ่ๆ ในระดับประเทศถือเป็นพันธกิจสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญ ถ้าสังคมดีธุรกิจก็ไปได้สวยและเป็นที่น่ายินดีที่มีอีกหลายบริษัทในประเทศไทยเองก็กำลังดำเนินธุรกิจไปในทิศทางนั้นเช่นกัน อย่างเช่น ห้างค้าปลีกบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ก็ถือเป็นอีกองค์กรหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับนโยบายเพื่อสังคมเช่นกัน
CSR ต้องเข้าให้ถึงชุมชน
กุฎาธาร นาควิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ กล่าวว่า บิ๊กซีถือเป็นนโยบายหลักที่ต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ปีนี้ในโอกาสครบรอบ 20 ปี จึงจัดทำโครงการ 20 ปี บิ๊กซีจับมือทำดีเพื่อชุมชน ซึ่งเป็นแนวคิดแบบ Bottomup CSR ที่จะตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริงและยั่งยืนผ่านโครงการต่างๆ เพื่อสังคมซึ่งจัดทำไปแล้ว 3 โครงการ คือ โครงการสร้างห้องเรียนเสริมพัฒนาการน้องผู้พิการที่ จ.นครสวรรค์ โครงการสร้างแท็งก์น้ำสะอาดเพื่อน้องให้โรงเรียนสองแห่ง ที่ จ.เชียงใหม่ และโครงการสร้างพื้นที่อนุรักษ์นกยูงไทย ที่ ต.ศรีวิชัย จ.ลำพูน
เขาเล่าว่าก่อนหน้านี้นโยบายเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของเราจะคิดจากข้างบนลงสู่ข้างล่าง คือเราคิดแล้วไปทำให้ชุมชน แต่บางครั้งอาจจะไม่ได้โดนใจหรือเป็นที่ต้องการของชุมชนจริงๆ สิ่งที่ทำไปก็ไม่ยั่งยืนเท่าที่ควรเพราะชุมชนไม่ค่อยมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง แต่ปีนี้เราให้ชุมชนคิดแล้วเสนอมาว่าอยากได้อะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ชุมชนต้องการเป็นประโยชน์เมื่อเสร็จสิ้นโครงการแล้วชุมชนก็ยังดูแลอยู่อย่างต่อเนื่องถือว่าเป็นความต้องการแท้จริงและยั่งยืน ถือว่าเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น ซึ่งทำไปแล้ว 3 โครงการ และอีก 3 โครงการที่เหลือที่ต้องทำให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ก็คือ โครงการสร้างธนาคารปูม้า ที่เกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี โครงการสร้างศูนย์การเรียนรู้อเนกประสงค์ตามแนวพระราชดำริ จ.ชุมพร และโครงการสร้างห้องทำงานให้มูลนิธิเด็กอ่อนคลองเตย กทม. โดยให้งบประมาณโครงการละ 4 แสนบาท
มาที่นี่มีทุกสิ่ง
นอกจากนี้ ในปีหน้า 2557 จะขยายเพิ่มส่งเสริมการทำงานเพื่อสังคมในชุมชนต่างๆ อีก 10 โครงการ โดยให้แต่ละชุมชนทำนโยบายขอทุนสนับสนุนผ่านสาขาของบิ๊กซีทั่วประเทศ “เราไม่ใช่แค่ห้างค้าปลีกเพื่อมาซื้อของแล้วจบ เราต้องการเป็นห้างค้าปลีกในดวงใจ แต่เราต้องการเป็น One Stop Service คือมาที่เดียวตอบโจทย์ได้ทุกอย่าง จ่ายบิล จ่ายภาษี จ่ายประกัน ตรวจสุขภาพ ตรวจฟัน บริจาคเลือด ยกอำเภอมาไว้ที่นี่ มาทำบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ซึ่งเราร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและ กทม.ให้มาเปิดบริการฟรีเดือนละ 1 ครั้ง เวียนไปทุกสาขาทั่วประเทศ”
เพราะเข้าใจดีว่าปัจจุบันการจราจรติดขัด เวลาคนเมืองกรุงก็มีน้อย ดังนั้น ทางเราก็พยายามสนองความต้องการให้ครบวงจร ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนปัจจุบัน
เขากล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ต้องการเป็นห้างค้าปลีกในดวงใจ ด้วยการพยายามทำให้ราคาสินค้าถูกที่สุดในห้างค้าปลีกด้วยกันในวันปกติและปีละ 1 ครั้ง จะจัดให้เป็นวันช็อปหยุดโลก ทุกสิ้นเดือน พ.ย. ลดกระหน่ำสูงถึง 80% ทั้งห้างตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่สองแล้ว “เราเลียนแบบมาจากสหรัฐอเมริกาที่เขาจะมีเซลจัดหนักหลังวันขอบคุณพระเจ้า เรียกว่า Black Friday ลดทั้งห้างคนจะไปเข้าคิวรอกันแต่เช้าตรู่ เราก็มาจัดปีแรกได้ผลดีมากคงจัดต่อเนื่องไปตลอดทุกปี
เต็มที่ในทุกสิ่งที่ทำ
หลักในการทำงานของเขานั้นคือ เอาใจใส่กับงานเต็มที่กับทุกสิ่งที่ทำให้ดีที่สุด เมื่อเต็มที่กับงานแล้วผลที่ได้รับจึงมักเป็นที่พอใจและให้ความสุขกับการทำงาน และเมื่อเจออุปสรรคปัญหาจงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ บอกตัวเองเสมอว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ ใจเย็นๆ ตั้งสติให้ดีเราจะพบทางออกที่เหมาะสมได้ในที่สุด “ยิ่งทำห้างค้าปลีก ปัญหาจุกจิกก็จะเยอะเราต้องพร้อมที่จะรับฟังว่าลูกค้าต้องการอะไรแล้วแก้ไขให้ทันกับความต้องการ
ทำงานทุกอย่างก็ต้องมีปัญหากันทั้งนั้นขอให้ใจเย็นเข้าไว้แล้วตั้งใจแก้เดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง” เขากล่าวอย่างตั้งใจ
นอกจากนี้ การเป็นผู้บริหารที่ดีต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ต้องเข้าใจทีมงาน วางคนให้ถูกกับงาน หาจุดแข็งของลูกน้องให้เจอ และมีความชัดเจนว่าต้องการให้องค์กรไปในทิศทางใด
ทางด้านการทำงานนั้น กุฎาธาร บอกว่า ก่อนหน้านี้เขาทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นเวลา 12 ปีเต็ม เคยไปประจำที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่สหประชาชาติ 5 ปี ย้ายกลับมาดูทวิภาคีประเทศในแอฟริกาและตะวันออกกลาง และกลับมาดูแลเรื่องการโปรโมทการท่องเที่ยวในแถบแอฟริกาใต้ ตำแหน่งสุดท้ายคือที่ปรึกษากระทรวง ระดับ c7 ขณะอายุได้ 36 ปี
“จริงๆ ผมได้ทุนจากกระทรวงการต่างประเทศให้เรียนตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก แต่ผมขอรับทุนจนถึงปริญญาโทเท่านั้น เพราะรู้สึกอยู่เมืองนอกมา 6 ปีกว่าแล้วคิดถึงบ้าน พอกลับมาใช้ทุนให้กระทรวงต่างประเทศก็ไปอยู่อเมริกาอีก 5 ปี รวมๆ แล้วก็ 11 ปี แล้วก็เลยอยากอยู่ใกล้ครอบครัวใกล้คุณพ่อคุณแม่บ้างเพราะเดินทางตลอด จึงตัดสินใจลาออกมาทำงานกับภาคเอกชนดูบ้าง ซึ่งถือว่าไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก เพราะเป็นงานที่ต้องติดต่อกับภาครัฐและบริษัทเอกชนคล้ายๆ กับงานที่เคยทำสมัยอยู่กระทรวงก็สนุกไปคนละแบบเป็นประสบการณ์ที่ดี” เขากล่าวอย่างยิ้มแย้ม
กุฎาธาร นาควิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ มา 3 ปี
จบมัธยมต้นที่โรงเรียนสาธิตปทุมวัน
จบมัธยมปลายที่เตรียมอุดมศึกษาพญาไท
ได้ทุนจากกระทรวงการต่างประเทศไปเรียนปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยดุ๊ก สหรัฐอเมริกา
ได้ทุนจากกระทรวงการต่างประเทศไปเรียนปริญญาโทด้านรัฐประสานศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยดุ๊ก สหรัฐอเมริกา
ทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นเวลา 12 ปี ตำแหน่งล่าสุดคือ C7 เป็นที่ปรึกษากระทรวงขณะอายุ 36 ปี
จึงตัดสินใจมาทำงานกับภาคเอกชนได้เป็นปีที่ 3


