‘Made in China’ never be the same
ในสมัยก่อนหากพูดถึงสินค้า “Made in China” ทัศนะคติของผู้คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นสินค้าคุณภาพต่ำและราคาถูก
ในสมัยก่อนหากพูดถึงสินค้า “Made in China” ทัศนะคติของผู้คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นสินค้าคุณภาพต่ำและราคาถูก แต่ปัจจุบันนี้ ลองหยิบสิ่งของรอบๆ ตัวขึ้นมาดูก็จะพบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าจำพวกอิเล็กทรอนิกส์ ที่จีนสามารถพลิกโฉมหน้าและศักยภาพทางเทคโนโลยี จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก อะไรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้สินค้าจากจีน สามารถขึ้นมาเทียบชั้นกับสินค้าชั้นนำของโลกได้
ย้อนกลับไปเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา จีนเริ่มต้นปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วงเวลาเดียวกันกับญี่ปุ่น โดยเริ่มต้นจากอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหล็กกล้า เครื่องจักรกล และเคมีภัณฑ์ ที่ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของการต่อยอดมาสู่อุตสาหกรรมเบา จนทำให้ภาคอุตสาหกรรมของจีนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในยุคต่อๆ มา จนกระทั่งเข้าสู่ยุค 80 ความสำเร็จของการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในเมืองเสิ่นเจิ้น ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีนได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้จีนเล็งเห็นว่า จีนเหมาะสมที่จะรับจ้างเป็นฐานการผลิตของโลก ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นกลับเล็งเห็นว่า การวิจัยและการพัฒนา หรือ R&D จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโตได้อย่างยั่งยืน
เมื่อจีนประสบความสำเร็จในการเป็นฐานการผลิตสินค้า จีนจึงต่อยอดด้วยวิธีการเลียนแบบและพัฒนา หรือ C&D ภายใต้องค์ความรู้และเทคโนโลยีเท่าที่จีนมีในเวลานั้น ส่งผลให้จีนกลายเป็นแหล่งผลิตสินค้าเลียนแบบคุณภาพต่ำรายใหญ่ของโลก วิธีการนี้เคยเป็นวิธีที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน เคยใช้มาแล้วเช่นกัน หากแต่ว่าจีนใช้ระยะเวลาในการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยวิธีการ C&D มากกว่าใครๆ
เมื่อถึงยุคที่จีนเล็งเห็นว่าทรัพยากรบุคคลคือสิ่งที่มีค่าสูงสุดของประเทศ ดังนั้นจีนจึงปรับเปลี่ยนวิธีการพัฒนาอุตสาหกรรม ด้วยการเน้นการวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาบุคลากรและสร้างนักวิจัยในสาขาต่างๆ โดยมุ่งหวังว่าพวกเขาเหล่านั้นสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมหาศาล ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ก็กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยกลุ่ม ปตท.มีโครงการที่จะสร้างสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระยอง ที่ประกอบไปด้วยโรงเรียนระดับมัธยมและสถาบันอุดมศึกษา ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก เพื่อสร้างนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศ ที่จะช่วยเสริมศักยภาพและการแข่งขันของประเทศไทยในอนาคต
การก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนของโลก คือผลสำเร็จของการที่จีนเปลี่ยนจาก C&D มาสู่ R&D ในภาคอุตสาหกรรมพลังงาน ทำให้จีนมีศักยภาพในการคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์และกังหันลมผลิตไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ปัจจุบันจีนร่วมมือกับอีกหลายชาติในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ หากแต่ว่าการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในจีน ก็มีข้อจำกัดอยู่บางประการ
จีนมีการสำรวจพบว่า ภาคตะวันตกของประเทศเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสุดในการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์และพลังงานลม แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้ใช้ไฟฟ้ามากที่สุดกลับอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศ ซึ่งแออัดไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมและผู้คน ดังนั้นการส่งไฟฟ้าจากภาคตะวันตกไปยังภาคตะวันออก จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะระยะทางที่ห่างไกลหลายพันกิโลเมตร ไฟฟ้าจะสูญเสียไปหมดในระบบสายส่ง ในขณะเดียวกันการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนั้น จีนมองว่าในอนาคตถ่านหินอาจหมดไปจากโลกนี้ก็อาจเป็นได้ ดังนั้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ จึงเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ที่จีนกำลังให้ความสนใจ
ปัจจุบันจีนมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 17 โรง และมีแผนที่จะสร้างเพิ่มอีก 200 โรง ให้ได้ภายในปี 2030 แต่บทเรียนจากเหตุการณ์ฟูกุชิมา ก็ทำให้จีนต้องทบทวนนโยบายนี้ใหม่อย่างรอบคอบ เพื่อมองหาเทคโนโลยีที่ดีและปลอดภัยที่สุด ซึ่งจีนเองก็มีศักยภาพในการออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้เองแล้ว แต่จีนกำลังมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานิวเคลียร์ จึงเกิดเป็นโครงการเปิดประมูลให้บริษัทจากต่างชาติสามารถเข้ามาออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์รุ่นที่ 3 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่มีความปลอดภัยสูง โดยมีข้อแม้ว่า บริษัทผู้ชนะการประมูลนั้น จะต้องถ่ายทอดองค์ความรู้และกระบวนการต่างๆ เพื่อให้จีนสามารถนำไปก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์รุ่นที่ 3 โรงอื่นๆ ต่อไปได้ โดยอาศัยมันสมองจากบุคลากรที่จีนสร้างขึ้น เพื่อตอบสนองต่อแนวทางการวิจัยและพัฒนานั่นเอง
ในอดีตผู้คนอาจไม่เชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าจากจีน แต่ในวันนี้ จีนเริ่มปรับภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่นในสินค้า ด้วยการให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้น และการที่จีนจะพึ่งพาตัวเองได้ในระยะยาว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จีนจะต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นของตนเอง เฉกเช่นเดียวกับความพยายามในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางด้านพลังงาน ที่อาจพลิกโฉมหน้าสินค้า Made in China ไปตลอดกาล


