เคล็ดลับความหนุ่มตลอดกาลของ ‘ชาตรี คงสุวรรณ’
คนเราถ้าจะเลือกอะไรเป็นอาชีพหลัก ทำทั้งทีต้องทำให้ดีไปเลย ถ้าจะเป็นนักดนตรีอย่างเดียว ต้องเล่นให้เก่ง เก่งจนไม่มีขีดสิ้นสุด
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
คนเราถ้าจะเลือกอะไรเป็นอาชีพหลัก ทำทั้งทีต้องทำให้ดีไปเลย ถ้าจะเป็นนักดนตรีอย่างเดียว ต้องเล่นให้เก่ง เก่งจนไม่มีขีดสิ้นสุด
ประโยคข้างต้น โอมชาตรี คงสุวรรณ เล่าว่า เป็นคำพูดที่ เต๋อเรวัต พุทธินันทน์ ตำนานนักดนตรีผู้ล่วงลับ แนะนำเขาในวันที่ยังเป็นเพียงหนุ่มน้อยเพิ่งเข้าวงการ
ผ่านมา 3 ทศวรรษ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าชื่อของ โอมชาตรี คงสุวรรณ ถูกยกย่องในฐานะนักแต่งเพลงโปรดิวเซอร์ชั้นครู พี่ใหญ่ใจดีที่น้องนุ่งให้ความเคารพนับถือ ปูชนียบุคคลของวงการดนตรีที่คนรู้จักกันทั้งประเทศ
ตั้งแต่การก่อตั้งวงอินโนเซนท์ รับหน้าที่มือกีตาร์คู่ใจของ เรวัต พุทธินันทน์ นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินค่ายแกรมมี่ชื่อดังนับไม่ถ้วน ผู้บริหารค่ายเพลง ก่อนตัดสินใจออกมาเป็นนักดนตรีอิสระเช่นทุกวันนี้
โอม ชาตรี สรุปสั้นๆ ว่า ผมเป็นคนโชคดีมาก
“ถามว่าความภาคภูมิใจที่สุดในการเป็นนักดนตรีคืออะไร เดินมาในวงการนี้ก็มักจะไม่ค่อยได้หยุดคิดอะไรมากนัก พอมีเวลามองย้อนกลับไป สิ่งหนึ่งที่รู้สึกอยู่ตลอดก็คือ เรานี้ช่างโชคดี นับตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงวันนี้ยังคงเป็นคนทำงานในอาชีพดนตรีโดยไม่ต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ที่สำคัญคือ ได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ มากมาย ออกผลงานตัวเองดังบ้าง เขาให้รางวัลบ้าง ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการทำงานดนตรีอย่างเดียว”
น้ำเสียงแฝงด้วยความถ่อมตน ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึม เขายังแลดูหนุ่มกว่าวัย แม้อายุล่วงเข้าปีที่ 51 ของชีวิต
เรียกตัวเองติดปากว่าเป็นนักดนตรี ทว่าชื่อของ ชาตรี กระโดดข้ามสายไขว้เขวสลับไปมา ไม่ว่าเล่นกีตาร์ เขียนเพลง โปรดิวซ์ ปั้นนักร้องและวงดนตรีรุ่นใหม่ จนถึงขั้นขึ้นแท่นผู้บริหารก็เคยมาแล้ว
“ผมเป็นพวกประเภททำอะไรหลายอย่าง โปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลงด้วย นักกีตาร์ ออกอัลบั้มเองด้วย ไม่ว่าทำอะไรก็ตาม ผมจะชอบมองตัวเองว่าเป็นนักดนตรี ใช้ความเป็นนักดนตรีนี่แหละไปกับเขาทุกเรื่อง (หัวเราะ)
การเดินบนถนนสายดนตรี กฎข้อแรกคือต้องอยู่รอดให้ได้ คนที่ล้มหายตายจากไปน่าจะหมายถึงคนที่ออกจากวงการไปเลยมากกว่า หมายถึงคนที่เขาเลิกไปแล้ว หันไปทำอย่างอื่น ไม่มีใครรู้จักแล้ว เพื่อนฝูงหลายคนก็มีทำกิจการห้องซ้อม เปิดผับ แต่ก็ยังทำงานเกี่ยวข้องกับดนตรีอยู่ และประสบความสำเร็จพอสมควรในด้านที่เขาถนัด
ขณะที่อีกหลายคนยังคงยืนหยัดเป็นนักดนตรี เป็นมือกีตาร์ เป็นนักร้องที่เก่งกาจ โดยที่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้หันไปทำอาชีพอื่น สรุปแล้วทุกคนก็ยังพยายามยืนหยัดทำในสิ่งที่ตัวเองรัก อาจจะแปรรูปไปทำนั่นทำนี่บ้าง แต่ก็สามารถอยู่รอดได้ นี่สิน่านับถือ”
ทำงานอยู่ใต้ชายคาค่ายเพลงอันดับหนึ่งของประเทศมานานเกือบ 24 ปี ชาตรี ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์เข้มข้นในฐานะบุคลากรทางดนตรีแทบจะทุกบทบาท แน่นอนว่ามีความผูกพันลึกซึ้งเหลือเกินกับบ้านหลังนี้
“น่าจดจำทุกเรื่อง ผมบอกตัวเองตลอดว่าเรานี้โชคดี การเดินมาในสายนักดนตรีมันไม่ง่ายที่ชีวิตจะได้ไปทำงานหลากหลายขนาดนั้น ช่วงแรกร่วมงานกับพี่เต๋อ เป็นน้องใหม่เล่นกีตาร์มือสั่นๆ ตื่นเต้นที่ได้เจอกับนักดนตรีระดับประเทศ อีกทั้งทีมงานก็ยอดฝีมือทั้งนั้น เหมือนเข้าโรงเรียนฝึกใหม่ จากนั้นก็ทำงานในสายผลิตมาจนทางแกรมมี่ไว้ใจให้เราบริหาร ด้วยความเชื่อในประสบการณ์
ประสบการณ์ไปนั่งอยู่ในการประชุมบอร์ดบริหารใหญ่ๆ อยู่หลายปีนี่สุดยอดเลย ทั้งประชุมอัพเดตผลประกอบการ ฟังเขาติชมกันในองค์กร ได้เห็นตัวอย่างด้านบวกด้านลบมากมาย สิ่งเหล่านั้นเปิดมุมมองให้เราเข้าใจงานธุรกิจ ผมเลยกลายเป็นนักดนตรีที่เข้าใจนักบริหาร รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไร ทำไมเขาต้องทำแบบนั้น นี่คือบทเรียนล้ำค่า”
ระหว่างความเป็นนักดนตรีกับนักบริหาร หลายครั้งประเด็นความขัดแย้งของเรื่องศิลปะกับธุรกิจมักทำให้คนกลางอย่างเขาต้องรับหน้าที่ไกล่เกลี่ย เคลียร์ใจ
“คงเป็นเพราะผมเป็นลูกคนกลาง เลยชอบตกไปอยู่ตรงกลางระหว่างเรื่องราวต่างๆ ตอนอยู่แกรมมี่ ผมจะอยู่ตรงกลางระหว่างผู้บริหารกับศิลปิน ความที่เราเป็นโปรดิวเซอร์ ผู้บริหารก็จะบ่นให้ฟังถึงความอึดอัดกับศิลปิน ศิลปินก็ต้องมาลงที่เราอยู่แล้ว เราก็ฟังความทั้งสองข้าง ใจเรากว้างก็ต้องกว้าง เหมือนเราเป็นที่ระบาย แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่ดีมากๆ ผ่านมาได้ ก็โอเค มันเป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา”
ปณิธานที่ชายผู้นี้ยึดถืออย่างมั่นคงคือต้องเอาศิลปะนำธุรกิจ
“เอาธุรกิจนำก็ได้ ถ้าเกิดต้องการสร้างตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ผมว่าเอาดนตรีนำสนุกกว่า เอาธุรกิจนำสำหรับผมมันปวดหัว ดนตรีนำมันก็มีเสียงเพลง ขายไม่ได้อย่างที่คิดบ้างมันก็ยังสนุก ยังไพเราะ ยังมีรอยยิ้ม”
ประเด็นน่าเป็นห่วงในวงการเพลงยามนี้ หลีกเลี่ยงไม่พ้นการละเมิดลิขสิทธิ์
“มีสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ เราเสพของตามเทรนด์ของนานาชาติ โดยเฉพาะฝรั่ง หลังๆ ยิ่งหนักเลย ตามเกาหลีอะไรด้วย การตามเทรนด์เขามีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือเรียนรู้เร็ว ไม่ต้องสร้าง วงการบ้านเราไม่ต้องสร้างอะไรเลย ตามเทรนด์หมด แม้ไอโฟนที่ใช้มันเป็นของดีมากๆ เราก็ไม่ต้องสร้าง ก็ใช้ของเขาเลย ส่วนข้อเสียมาจากความสุขสบายของผู้คนนั่นคือการละเมิดลิขสิทธิ์ การใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีสร้างความสุขให้ตัวเองด้วยการไม่ต้องซื้อขายอะไร ฟังกันฟรี ดูกันฟรี แน่นอนสิ่งนี้มันเป็นปัญหาของการเติบโตอย่างถูกต้องทางธุรกิจ
ยากที่จะบอกว่ามันเป็นความผิดของใคร กฎหมาย สังคม จิตสำนึก เพราะสิ่งเหล่านี้มันมาจากความสุข อย่างเช่น คนเล่นไอแพด มีคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ได้มีอาชีพ หรือมีญาติพี่น้องที่มีรายได้จากการค้าขายเพลง เขาจึงไม่ได้มีความรู้สึกนึกผิดอะไรที่ก๊อบปี้เพลง หรือว่าหาเพลงมาฟังโดยที่ไม่ต้องซื้อ ในทางกลับกัน เราไปคุยกับคนที่เขาอยู่ได้ด้วยการค้าขายของพวกนี้ เขาเดือดร้อนโดยตรงเลย ผมว่าตรงนี้เป็นปัญหา การปลูกฝังแนวคิดความรู้สึกห่วงใย หรือความรู้สึกต้องร่วมรับผิดชอบต่อคนอาชีพอื่นให้กลายมาเป็นความถูกต้อง มันยังไม่ได้ถูกปฏิบัติ ยังไม่ได้ถูกเผยแพร่ในวงกว้าง ยังคงพูดกันลอยๆ เรื่อยๆ” ชาตรี บอกอย่างเคร่งเครียด
พักยกชั่วคราว ดื่มน้ำเย็นสักแก้ว ชาตรี ยังคงนั่งสบายๆ ในห้องประชุมของบริษัท มิสเตอร์มิวสิค บริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นเพื่อรับจ้างผลิตดนตรีทุกชนิด ไม่จำกัดแนว เป็นโฮมออฟฟิศขนาดกะทัดรัด ย่านประชานิเวศน์ บนกำแพงเบื้องหลังมีชั้นหนังสือเกี่ยวกับเพลง ดนตรี นิตยสารเพลง แผ่นดีวีดีคอนเสิร์ตของศิลปินระดับโลก แต่ที่มากมายไม่แพ้กันเห็นจะเป็นตำราเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมประเภทคอมพิวเตอร์ มิวสิก วิธีใช้งานแกดเจ็ตต่างๆ รวมแล้วเป็นพันเล่ม
โอม ยอมรับว่า เขาเป็น Computer Musician ตัวยง
“ตั้งแต่แรกคนจะรู้จักผมว่าเป็นนักกีตาร์ แต่ช่วงที่ไปทำงานโปรดิวซ์มีโอกาสได้อยู่ในกลุ่มเล่นคอมพิวเตอร์ การคลุกคลีมาเป็นสิบๆ ปีมันทำให้เรากลายเป็นคนที่ต้องจับต้องของพวกนี้ตลอดเวลา เรียกว่าเกินครึ่งของเวลาทั้งหมดใช้ไปเลย
หลายคนจะถามว่าเทคโนโลยีต่างๆ มันจำเป็นกับงานดนตรีมั้ย สำหรับผมมันยิ่งกว่าจำเป็น บางทียังคิดเลยว่าที่เราทำงานอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะเราทำงานด้วยวิธีนี้ นั่นคือ ใช้เทคโนโลยีให้เป็นเครื่องมือ ผมมีทัศนคติที่ดีมากๆ กับเทคโนโลยี ไม่ใช่เพราะมันให้ผลประโยชน์ แต่เพราะเราอยู่กับมันตลอด คือเข้าใจว่ามันมาด้วยเหตุผลอะไร แล้วเราจะใช้มันยังไง ทุกวันนี้ผมเลยเป็นพวกมนุษย์ไอทีควบคู่ไปกับการทำงาน กลายเป็นเรื่องสนุกไปแล้ว
ทุกวันนี้ผมก็แทบจะทำทุกอย่างบนไอแพดหมดเลย ดูหนัง อ่านข่าว คุยกับเพื่อน หลังๆ นี่ทำงานบนไอแพดด้วย งานเพลงเนี่ยแหละ คือมันเก่งขนาดมีโปรแกรม แอพพลิเคชั่นต่างๆ สามารถทำงานเพลงบนไอแพดได้เลย เครื่องผมที่มีแอพเกี่ยวกับดนตรีประมาณ 800 กว่าตัว ผมสามารถถือไอแพดไปนั่งทำงานอยู่ร้านกาแฟได้สบาย”
เช่นเดียวกับความล้ำสมัยของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กระแสโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ กูเกิล หรือยูทูบ ก็เปรียบเสมือนเครื่องมือวิเศษที่โอมเชื่อว่าสามารถทำให้ทุกคนทำงานได้ง่ายขึ้น แถมโด่งดังมีชื่อเสียงง่ายขึ้นด้วย
“ผมว่ามีแต่ข้อดีล้วนๆ เลยครับ อย่างกูเกิล ยูทูบ ผมมองว่านี่ไม่ใช่หน่วยงานธุรกิจ แต่ถึงขั้นเป็นอะไรบางอย่างที่พระเจ้าส่งมาช่วยให้ผู้คนบนโลกเท่าเทียมกันได้ตรงนี้ ถ้าศิลปินรู้จักใช้จะมีแต่ข้อดี โพสต์งานดีๆ ไม่มีใครมาบังคับ แต่ถ้าโพสต์งานแย่ๆ งานไม่ดี คนเขาเห็น ขณะเดียวกันแบบเรียนหรือตัวอย่างจากคนเก่งๆ ให้ศึกษา ตั้งแต่การจับคอร์ดกีตาร์ สารพัดทุกสิ่งทุกอย่างที่นักดนตรีคนหนึ่งอยากเรียนรู้ เหมือนมีครูทุกคนในโลกนี้อยู่ในนั้นหมด”
โอมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนบอกว่า ไม่อิจฉาเด็กรุ่นใหม่ แต่เสียดายอย่างเดียวตรงอยากมีเวลาเยอะกว่านี้ อายุน้อยกว่านี้ ฝึกปั๊บ จะได้ออกไปกระโดดโลดเต้นให้สุดเหวี่ยงเหมือนสมัยหนุ่มไฟแรง
ยิงคำถามสุดท้ายไปว่า การที่ทำให้คงความหนุ่ม กระชุ่มกระชวย ทันสมัย เทคโนโลยีหรือดนตรีมีส่วนสำคัญมากกว่ากัน นักดนตรีรุ่นใหญ่วัยครึ่งศตวรรษลูบคางอย่างใช้ความคิด ก่อนตอบอย่างคมคายว่า “ถ้าบอกว่าเท่ากันมันง่ายไปนิดหนึ่ง ทุกวันนี้ผมก็ยังเล่นดนตรีอยู่ ขณะเดียวกันก็ยังเล่นคอมพิวเตอร์เป็นบ้าเป็นหลัง การเล่นคอมพิวเตอร์มันไม่ได้ทำให้เราสนุก แต่มันทำให้เราเป็นหนุ่มในความคิด ฉับไวตามข้อมูลข่าวสาร ทันโลกทันสถานการณ์ การเล่นดนตรีมันทำให้เราเป็นหนุ่มในบุคลิก เพราะยามจับกีตาร์ขึ้นมาเล่น ผมจะรู้สึกว่าเหมือนเราออกไปวิ่ง ต้องตื่นตัว ต้องกระฉับกระเฉงตลอดเวลา”


