โอชิน...เด็กหญิงหัวใจแกร่งแห่งญี่ปุ่น
คุณเชื่อไหมว่า ไม่ว่ายุคสมัยไหน ณ แห่งหนตำบลใด ต่างมีทั้งคนรวยและคนจน
โดย..ตุลย์ จตุรภัทร
คุณเชื่อไหมว่า ไม่ว่ายุคสมัยไหน ณ แห่งหนตำบลใด ต่างมีทั้งคนรวยและคนจน น่าเจ็บใจตรงที่ปริมาณคนรวยและคนจน ต่างมีไม่เท่ากัน และมันก็เป็นอย่างนี้ทั่วทุกมุมโลก!
หากเรานั่งไทม์แมชีนของโดราเอมอน เพื่อไปย้อนดูเรื่องราวของคนจน ณ เมืองยามางะ (อยู่ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น ขึ้นไปทางด้านบนของแม่น้ำโมงามิ) ในปี ค.ศ. 1907 เราจะได้พบเจอกับครอบครัวครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีสมาชิกในครอบครัวมากมายเหลือเกิน มากมายจนคนเป็นพ่อต้องตัดสินใจส่งลูกสาวที่มีอายุเพียง 7 ขวบ ไปทำงานในฐานะคนรับใช้ เพื่อจะได้ลดจำนวนสมาชิกที่เขาต้องหาเลี้ยงไปอีกหนึ่งคน แต่ยิ่งน่าเศร้าเข้าไปใหญ่ ที่คนเป็นเมียรับการตัดสินใจของสามีไม่ได้ เลยพยายามหาทางช่วยลูกสาวตัวเอง ด้วยการทำแท้งลูกที่อยู่ในท้องอีกคน ด้วยการลงไปอาบน้ำในแม่น้ำที่เย็นเฉียบจนเป็นน้ำแข็ง แต่ก็รอดพ้นมาได้
จากเหตุการณ์นี้นี่เอง ที่เป็นจุดตัดสินใจให้ลูกสาววัย 7 ขวบ ที่มีชื่อว่า “โอชิน” จำเป็นต้องจากครอบครัวไป เพื่อทำงานแลกเงิน
หากนี่คือจุดเริ่มต้นเรื่องของภาพยนตร์จากประเทศญี่ปุ่นเรื่อง “โอชิน” นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องที่บีบหัวใจคนดูให้ตรึงอยู่กับความยากจนข้นแค้น จนต้องหาทางออกที่ทำร้ายจิตใจเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไม่รู้จะหาคำใดมาเปรียบเปรย
เส้นทางเดินของเด็กหญิงโอชินหลังจากจุดเริ่มต้นนี้ เมื่อได้นั่งดู กลับยิ่งบีบหัวใจคนดูมากยิ่งขึ้นไปอีก เธอต้องทำงานหนัก โดนโขกโดนสับ โดนกล่าวหาว่าเป็นขี้ขโมย จนต้องหนีอย่างระหกระเหเร่ร่อน และเธอก็รอดตาย จนได้กลับมาเป็นเด็กรับใช้อีก เพราะเธอไม่สามารถอยู่กับครอบครัวของเธอได้ เพียงเพราะความจนบีบบังคับ
ถามว่าภาพยนตร์เรื่องโอชินแตกต่างจากซีรีส์เรื่องสงครามชีวิตโอชิน ที่ฉายทางสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคแห่งประเทศญี่ปุ่น เมื่อ 30 ปีที่แล้ว (ค.ศ. 1983) บ้างไหม คำตอบคือ ต่างครับ ต่างตรงที่ในรูปแบบภาพยนตร์นำเสนอเรื่องราววัยเด็กเพียงแค่ 2 ปี ของเด็กหญิงโอชินเท่านั้น ส่วนซีรีส์นั้นได้ฉายเรื่องราวของเด็กหญิงโอชิน ไปจนกระทั่งเป็นหญิงแก่ผู้เป็นมารดาของผู้ก่อตั้งและประธานห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น
แต่ถึงแม้ภาพยนตร์จะฉายเรื่องราวเพียงแค่ปีสองปีของเด็กหญิงโอชิน แต่ด้วยตัวบท การแสดง การกำกับการแสดง องค์ประกอบศิลป์ การตัดต่อ และทั้งหมดทั้งมวล กลับทำได้อย่างลงตัว เรื่องราวสามารถเดินทางไปสู่จุดไคลแมกซ์ของเรื่องได้เป็นอย่างดีเยี่ยม ที่สำคัญกว่านั้นคือ แก่นของเรื่องที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการบอกคนดู คือ “เมื่อเกิดมาเป็นผู้หญิงแล้ว ชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา แต่ชีวิตเราเกิดมาเพื่อครอบครัวเท่านั้น” ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถทำได้ถึงจุดเลยทีเดียว
เอาเป็นว่า หากคุณอยากนั่งไทม์แมชีนย้อนเวลาไปดูความยากจนข้นแค้นของคนญี่ปุ่นในยุคสมัยหนึ่ง ซึ่งจน จ๊น จน ไม่แพ้ที่ใดในโลกใบนี้ ดูเพื่อสะท้อนให้เราเห็นความเหลื่อมล้ำ ความดิ้นรนเพื่อก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม (หรือให้ดีที่สุดคือ เอาตัวรอดผ่านไปให้ได้หนึ่งวัน) ไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้เถิดครับ แล้วเราจะรู้สึกว่าชีวิตเราช่างดีกว่าเขาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แล้วเราจะเหนื่อยหน่ายการใช้ชีวิตให้อดสูไปเพื่อสิ่งใด และที่สำคัญ ดูแล้วเราจะเข้าใจหัวอกผู้หญิงได้ดีขึ้น


