ทีมดังยุโรป...ล้วนเคยแห้วเวิลด์คัพ
เป็นที่ทราบกันดีว่ามีทีมเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่เคยผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ ทีมชาติบราซิล
โดย...เด็กสวนฯ
เป็นที่ทราบกันดีว่ามีทีมเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่เคยผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ ทีมชาติบราซิล แถมยังกวาดแชมป์โลกไปถึง 5 สมัยอีกด้วย (ปี 1958, 1962, 1970, 1994, 2002)
และปีหน้า “ดินแดนแซมบ้า” บราซิล ก็ได้รับหน้าเสื่อให้เป็นเจ้าภาพจัด “เวิลด์ คัพ 2014” ดังนั้นบราซิลคงมุ่งมั่นไม่น้อยกับการหวังคว้าแชมป์โลกในบ้านให้ได้
แต่ไฮไลต์สำหรับแฟนบอลบ้านเราในช่วงนี้ เห็นจะเป็นโควตาจากยุโรป ที่ลงแข่งแย่งชิงกัน 53 ชาติ คัดเอาแค่ 13 ชาติ ไปเล่นรอบสุดท้ายที่บราซิล ช่วงกลางปีหน้า ตอนนี้มี 9 ทีมที่คว้าตั๋วไปเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ “แชมป์เก่า” สเปน, อิตาลี, อังกฤษ, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, เบลเยียม, รัสเซีย, ฮอลแลนด์ และบอสเนีย & เฮอร์เซโกวีนา
เท่ากับว่าเหลือตั๋วอยู่แค่ 4 ใบ ให้ 8 ทีมต้องห้ำหั่นแย่งกัน ในการประกบคู่ดวลเพลย์ออฟแบบเหย้าเยือน
การเตะเลกแรกทั้ง 4 คู่ ผ่านไปแล้วเมื่อช่วงดึกคืนวันศุกร์ที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมาตามเวลาไทย ซึ่งส่วนใหญ่ทีมเจ้าบ้านก็ชิงความได้เปรียบเอาชนะไปก่อน เริ่มจาก “ฝอยทอง” โปรตุเกส เฉือน “ไวกิ้ง” สวีเดน 1-0, ยูเครน เอาชนะ ฝรั่งเศส 2-0 และ กรีซ ถล่ม โรมาเนีย 3-1 โดยมีเพียง ไอซ์แลนด์ ที่เล่น 10 คนตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง จึงทำได้แค่เสมอ โครเอเชีย 0-0
การเตะเลกสอง ซึ่งเป็นนัดชี้ชะตา จะมีขึ้นในคืนวันอังคารที่ 19 พ.ย.นี้ ทั้ง สวีเดน, ฝรั่งเศส, โรมาเนีย ยังมีโอกาสแก้ตัว เช่นเดียวกับ โครเอเชีย ที่ได้กลับมาเล่นในบ้านหลังจากไม่แพ้นัดแรก โดยเฉพาะแฟนทีมสวีเดนและฝรั่งเศสในบ้านเรา ซึ่งมีอยู่พอสมควร คงต้องออกแรงลุ้นเหนื่อยเอาการ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีทีมที่สมหวัง ก็ย่อมมีทีมที่ผิดหวัง และมันก็เป็นมาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว บางทีมทำได้ดีตั้งแต่ช่วงออกสตาร์ตเล่นรอบคัดเลือก แต่มาแผ่วปลายจนคว้าตั๋วไม่ทันไปเตะบอลโลกรอบสุดท้ายก็มีให้เห็นบ่อยๆ ดังนั้นแฟนๆ คงต้องทำใจปลงๆ ไว้บ้างก็ดี
หลายทีมในยุโรปอาจจะอดไปโชว์แข้งในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอยู่หลายครั้ง แต่ขอคัดเอาทีมดังๆ ที่น่าสนใจ และปีที่แฟนบอลคงจะจำกันได้ดีก็แล้วกัน
อังกฤษ (1974/1994)
ถือเป็นทีมขวัญใจชาวไทยมานานแล้ว หลายคนอาจจะบอกว่าเบื่อที่จะเชียร์แล้ว เพราะเชียร์ไม่ขึ้น แต่พอทีม “สิงโตคำราม” อังกฤษ ลงเตะทีไร ก็อดเชียร์ไม่ได้ทุกที คงเป็นเพราะความคุ้นเคยที่ฝังลึกมานาน
ทีมผู้ดีเคยคว้าแชมป์โลกครั้งแรกและครั้งเดียว จากการจัดเองแชมป์เองเมื่อปี 1966 และหลังจากนั้นก็ฟอร์มตกจนเข้าขั้นสู่ยุคมืดเลยทีเดียวในช่วงทศวรรษที่ 70 เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จในเกมรอบคัดเลือกบ่อยครั้ง
ที่น่าเสียดายแบบไม่น่าให้อภัย และเชื่อว่าแฟนบอลพันธุ์แท้คงจำได้ก็คือ การลงเตะรอบคัดเลือก เวิลด์ คัพ 1974 นัดสุดท้ายกับโปแลนด์ โดยอังกฤษต้องการชัยชนะในบ้าน ก็จะซิวตั๋วไปเล่น รอบสุดท้ายที่เยอรมนีตะวันตกทันที (ตอนนั้นเยอรมนียังไม่รวมตะวันตกกับตะวันออก) แต่แล้วกลับทำได้แค่ไล่ตีเสมอ 1-1
อีกครั้งหนึ่งที่อังกฤษต้องพลาดโอกาสไปเล่นรอบสุดท้าย เวิลด์ คัพ 1994 ที่สหรัฐ แบบช็อกแฟนบอล ทั้งที่นำทีมโดย แกรี ลินิเกอร์ ยอดดาวยิงระดับโลกยุคนั้น และมีกุนซือคือ “หัวผักกาด” เกรแฮม เทย์เลอร์ แต่กลับโชว์ฟอร์มสุดบู่ไม่ผ่านรอบคัดเลือก ก็ไม่รู้ว่าฟอร์มห่วยต่อเนื่องมาจากศึกยูโร 1992 ที่สวีเดนหรือเปล่า เพราะอังกฤษร่วงแค่รอบแรกเท่านั้น
ส่วน เวิลด์ คัพ 2014 นั้น อังกฤษคว้าแชมป์กลุ่ม ฉลุยไปรอเล่นรอบสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว
ฮอลแลนด์ (1986/2002)
“อัศวินสีส้ม” ฮอลแลนด์ เป็นทีมหนึ่งที่หลายคนเชื่อว่ามีดีพอที่จะเป็นแชมป์โลกมานานแล้ว แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่เคยไปถึงฝั่งฝันซะที ยังคงมีดีกรีแค่รองแชมป์โลก 3 สมัย (ปี 1974, 1978, 2010)
หลังทีมจากแดนกังหันลมอกหักพ่ายอาร์เจนตินา นัดชิงชนะเลิศ เวิลด์ คัพ 1978 ที่อาร์เจนตินา ได้มีการผ่าตัดทีมเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยมีนักเตะดัตช์แจ้งเกิดพร้อมๆ กันจนได้รับการยกย่องว่าเป็น “3 ทหารเสือ” นั่นคือ แฟรงก์ ไรจ์การ์ด, รุด กุลลิท และ “ศูนย์หน้าพรายกระซิบ” มาร์โก ฟาน บาสเทน
แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ฮอลแลนด์ไม่ได้ไปเล่น เวิลด์ คัพ 1986 รอบสุดท้าย ที่เม็กซิโก ทั้งที่น่าจะเป็นเต็งจ๋า เพราะดันเตะเพลย์ออฟ รอบคัดเลือก แพ้ เบลเยียม ซะงั้น
ยัง...ยังพลาดได้อีก ผ่านไป 10 กว่าปี ฮอลแลนด์ก็มีเลือดใหม่รุ่งๆ อีกเพียบ ทั้ง รุด ฟาน นิสเตลรอย, ยาป สตัม, มาร์ก โอเวอร์มาร์ส และ เอ็ดการ์ ดาวิดส์ แต่โชว์ฟอร์มแย่ตกรอบคัดเลือก เวิลด์ คัพ 2002 ทำให้อดมาทัวร์บอลโลกที่เอเชีย ซึ่ง ญี่ปุ่น กับ เกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพร่วมกัน
สำหรับ เวิลด์ คัพ 2014 ฮอลแลนด์ก็คว้าแชมป์กลุ่มรอบคัดเลือกแบบไร้เทียมทาน
ฝรั่งเศส (1994)
ก่อนที่ทีม “ตราไก่” ฝรั่งเศส จะสามารถผงาดครองแชมป์โลกครั้งแรกและครั้งเดียวในศึกเวิลด์ คัพ 1998 ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดเอง ก่อนหน้านั้นหลายคนต่างรู้สึกเสียดายผู้เล่นเลือดน้ำหอมที่อดไปโชว์แข้งใน เวิลด์ คัพ 1994 ที่สหรัฐ
เอาเป็นว่า แค่เอ่ยชื่อก็ซี๊ดปากแล้ว นำโดย “กองโต้” เอริก คันโตนา, ดาวิด ชิโนลา และ ฌอง ปิแอร์ ปาแปง โดยมี “บิ๊กโปน” เชราร์ อุลลิเยร์ รับหน้าที่กุนซือ
ก็ใครจะไปคาดคิดว่า ฝรั่งเศสนั้นขออีกแค่ 1 คะแนนเท่านั้น จาก 2 นัดที่เหลือในรอบคัดเลือก ก็จะฉลุยไปเตะบอลโลกรอบ สุดท้ายทันที แต่แล้วกลับแพ้มันดื้อๆ ทั้ง 2 นัดเลย จึงร่วงรอบคัดเลือกแบบน่าจับมาเขกหัวทั้งผู้เล่นทั้งโค้ชเลย
และ เวิลด์ คัพ 2014 ที่บราซิล ในปีหน้า ฝรั่งเศสก็กำลังอาการร่อแร่พอสมควร เพราะเลกแรกดันบุกไปแพ้ “เจ้าถิ่น” ยูเครน ถึง 0-2
โปรตุเกส (1998)
ต้องยอมรับว่าพอเข้าสู่ช่วงทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมา ทีม “ฝอยทอง” โปรตุเกส ถูกทั่วโลกจับตามองเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีแข้งชั้นดีในทีมมากมาย นำโดย หลุยส์ ฟิโก, รุย คอสตา และ เจา ปินโต ซึ่งน่าเป็นผลพวงจากการเล่นด้วยกันมานาน ตั้งแต่สมัยคว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชนโลก ปี 1991
แต่ไม่รู้เป็นอะไร พอขยับขึ้นมาเวทีใหญ่กว่า ทีมโปรตุเกสยุคของฟิโก กลับไม่เคยมีโอกาสได้ไปเล่นเวิลด์ คัพ รอบสุดท้ายซะที โดยเฉพาะรอบคัดเลือก เวิลด์ คัพ 1998 ช่วงแรกๆ ก็ทำท่าเหมือนจะมีลุ้น แต่แล้วก็ต้องตกรอบไปในที่สุด เลยกลายเป็นทีมฝอยทองใส่แห้ว เหมือนกับ เวิลด์ คัพ 1990 และ 1994
สำหรับ เวิลด์ คัพ 2014 นั้น โปรตุเกสในยุคของ คริสเตียโน โรนัลโด ชิงความได้เปรียบเล็กน้อย ที่เปิดบ้านเบียดชนะ สวีเดน มาได้ก่อน 1-0 แต่ก็ยังเชื่อแน่ไม่ได้ เพราะทีมไวกิ้งที่มี ซลาตัน อิบราฮิโมวิช จะได้กลับไปเล่นนัดชี้ชะตาในถิ่นตัวเอง
สหภาพโซเวียต (1978)
ทีมสหภาพโซเวียต (ก่อนจะแยกสลาย) เป็นทีมที่โดดเด่นมากในช่วงทศวรรษที่ 70 โดยเฉพาะการผงาดคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1975 (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก) ของสโมสรดินาโม เคียฟ จากดินแดนหลังม่านเหล็ก ส่งผลให้วงการลูกหนังสหภาพโซเวียตคึกคักขึ้นมาก แถมรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปในปีเดียวกันนั้น ก็ตกเป็นของ โอเล็ก บล็อกกิน อีกด้วย
แต่แล้วใน เวิลด์ คัพ 1978 ที่อาร์เจนตินา กลับไม่มีสหภาพโซเวียตไปร่วมโม่แข้งด้วย เนื่องจากผลงานแย่ไม่สามารถผ่านรอบคัดเลือก
ส่วน เวิลด์ คัพ 2014 ทีมสหภาพโซเวียตที่กลายมาเป็นทีมรัสเซียในปัจจุบัน คว้าแชมป์กลุ่มรอบคัดเลือก ตีตั๋วไปคอยล่วงหน้าแล้ว หลัง 2 ครั้งล่าสุด (ปี 2006, 2010) ก็ชวดมาหยกๆ
อิตาลี (1958)
สำหรับ “มะกะโรนี” อิตาลี ดีกรีแชมป์โลก 4 สมัย (ปี 1934, 1938, 1982, 2006) นั้น ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เกิดเหตุเครื่องบินตกในปี 1949 ทำให้นักเตะสโมสรโตริโนเสียชีวิตเกือบทั้งหมด ซึ่งส่งผลกับทีมชาติชัดเจน เนื่องจากมีแข้งหลักของทีมอัซซูรีอยู่ในทีมโตริโนด้วย
ทำให้พอเข้าสู่ทศวรรษที่ 50 มันเหมือนเป็นยุคตกต่ำของวงการลูกหนังอิตาลีเลยทีเดียว ทั้งที่ตั้งเป้าจะผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้าย เวิลด์ คัพ 1958 ที่สวีเดน ให้ได้ เพื่อลบฝันร้ายปี 1949 แต่ก็ไปไม่รอดร่วงรอบคัดเลือกเท่านั้น
สำหรับ เวิลด์ คัพ 2014 ที่บราซิล ในปีหน้านั้น อิตาลีคว้าแชมป์กลุ่มรอบคัดเลือกไปอย่างง่ายดาย และมีลุ้นกวาดแชมป์โลกสมัยที่ 5 เทียบเท่า “เจ้าภาพ” ซะด้วย


