พันธุ์ไม้ซึ่งสมเด็จพระปิยะมหาราชทรงโปรด
โดย...ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม
โดย...ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม
แม้วันปิยะมหาราช 23 ต.ค.ปีนี้จะผ่านไปแล้ว แต่ความระลึกถึงพระองค์ท่านยังคงอยู่ในดวงใจของผู้เขียนอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักและสนพระทัยในพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิดของพระองค์ท่าน ดังมีประจักษ์พยานจากพระราชหัตถเลขา ดังเจ้าหมื่นเสมอใจราช ตำแหน่งหัวหมื่นหมาดเล็กเวชสิทธิ์ ซึ่งมีหน้าที่นายงานการก่อสร้างพระราชวังดุสิต และการขยายพระมหานครทางทิศเหนือ และเมื่อครั้งเป็นพระยาวรพงศ์พิพัฒน์
คนไทยคงรู้จักดอกจำปีกันทุกคน และรัชกาลที่ 5 ก็ทรงโปรดจำปีอยู่มาก ดังข้อความในพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าหมื่นเสมอใจ และในวันที่ 29/3/118 ความว่า “ด้วยมากระทำในใจ ตกลงให้เกิดรักต้นจำปีขึ้นแล้ว ถนนพุดตานในเปลี่ยนเป็นปลูกต้นจำปีตลอดจนถนนป๋วย แต่ถ้าจะหาต้นให้เขื่องขนาดสัก 2 ศอกคืบได้จะเร็วขึ้น เพราะเป็นต้นไม่ริมถนน แต่ก็จะต้องนับประมาณเสียว่าจะต้องใช้กี่มากน้อย จะหาได้ครบฤาไม่ ถ้าแคลงว่าจะไม่ครบแล้วไม่ควรที่จะหาใหม่ เพราะถ้าหาไม่ได้ครบจะต้องเอาต้นเล็กบ้างใหญ่บ้างปนกันจนแก่ก็จะไม่ได้เห็นงาม สู้เอาต้นในหม้อของเราที่มีอยู่แล้วแล้วเล็กๆ ไม่ได้” จะได้โตทันกันทั้งหมด แต่ต้องปลูกพร้อมกันทั้งดอกพุดตานแลถนนป๋วยให้กะที่ปักหลักไว้ให้ดูระยะห่าง 4 วา ฤาหย่อนนั้นให้เหมาะกับลายสวน ถ้าต้นไม้ปลูกนอกเขตพลับพลาเช่นนี้ ชั้นต้นจะต้องมีไม้รั้วล้อมหาไม่เจ๊กจะเหยียบป่นไปเสีย
จำปี (Michelia Alba) นี้ชาวต่างประเทศรู้จักกันในนามจำปีขาว (White Chempaka) อยู่ในวงศ์แมกโนเลีย (Magnoliaceae) ซึ่งไม้ในวงศ์ที่เป็นไม้ป่ามีหลายชนิด เช่น จำปีป่า จำปาป่า (Michelia Baillonii) จำปา (M.champaca) หรือจำปาทอง จำปาป่า แก้วมาวัน หรือจำปีป่า (Michelha Floribunda) และจำปีดง (Michelia Lacei) หรือจำปีช้าง และจำปีหลวง (Michelia Rajaniana) ซึ่งพบในป่าภาคเหนือ
ไม้ประดับอีกกลุ่ม ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงนำเข้ามาจากต่างประเทศ ด้วยทรงเห็นถึงความสวยงามของทรงต้นและใบ ได้แก่ ไม้ในวงศ์ปาล์ม (Fanily Arecaceae) ที่กล่าวดังนี้ด้วยหลักฐานในพระราชหัตถเลขาลงวันที่ 19/4/118 ความว่า
ถึงเจ้าหมื่นเสมอราช
“ปามและพร้าวต่างๆ ซึ่งมาแต่ยะวาบ้างยุโรปบ้าง ที่เปลี่ยนกระถางแล้วรากก็เต็มหมด ไม่มีที่จะงอกขึ้นได้อีก ที่ไม่ได้เปลี่ยนกระถาง อย่างทนรากก็ขึ้นมาพ้นดินถึงคืบ 1 ก็มี เพราะเช่นนั้นกระถางที่จะเปลี่ยนต้องสูงกว่ากระถางเดิมถึงคืบ 1 ถ้าเป็นต้นไม้เล็กที่ไม่มีแรง ถูกดินเหนียวรัดแกะไม่ออกต้องต่อย รากในนั้นก็ไม่มี เหลือข้างเดียวบ้าง สายเดียวบ้าง ในการที่จะรักษาต้นไม้เหล่านี้ไม่ให้ตาย ในแล้งน่า มีอย่างเดียว แต่จะต้องเปลี่ยนกระถาง เปลี่ยนดิน แต่ดินได้ไม่พอที่จะเปลี่ยน กับกระถาง สูญหายไปเสียมาก ขอให้ตั้งเผาดินใหญ่เสียสักคราวหนึ่ง ให้ได้ทำให้ตลอดในรดูนี้ และจะต้องใช้ถังแทนกระถาง โดยมากด้วยใหญ่เกินขนาดเห็นจะถึง 60 แต่เรื่องดินเป็นสำคัญขอให้รีบเผา”
พระราชหัตถเลขาฉบับนี้ บอกอะไรให้เรารู้เกี่ยวกับความเอาใจใส่ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าชีวิตของคนไทยในสมัยนั้น ว่าถึงแม้พระองค์จะเป็นกษัตริย์ แต่พระองค์กลับมีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง ในเรื่องของการปฏิบัติดูแลรักษาพืชการเจริญเติบโตของพืชที่ถูกจำกัดด้วยเครื่องปลูกถูกจำกัด และการใช้ดินเหนียวจัดเป็นเครื่องปลูกต้นกล้า ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้รากพืชไม่อาจเจริญเติบโตได้เท่าที่ควรจะเป็น พระองค์อธิบายถึงการที่ต้นปาล์มขนาดเล็กในภาชนะมีรากเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยได้อย่างจริงจังจนเรามองเห็นภาพของพระองค์ให้ความรัก ความสนพระทัยกับงานพืชสวนปฏิบัติด้านนี้อย่างแท้จริง จนกล่าวได้ว่าล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงให้ความรักความสนใจกับพรรณไม้อย่างสูง เท่านี้มาตรฐานของคนในโลกศิวิไลซ์จะเป็นได้
“ปาม” และ “พร้าว” ซึ่งมาแต่ยะวาบ้างยุโรปบ้างนั้นพระองค์ท่านคงหมายถึงไม้ใบประดับในวงศ์ปาล์ม ซึ่งได้รับความนิยมปลูกเป็นไม้ใบประดับในกระถาง ซึ่งพบในยุโรปและได้เผยแพร่เข้าไปกรุงจาการ์ตา เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งพระองค์ทรงเสด็จเยือนหลายวาระและทรงนำกลับมาเผยแพร่ในประเทศสยาม โดยทรงรูปไว้ในเขตพระราชฐานสวนดุสิต จากนั้นคงไม่ต้องสงสัยเลยว่าได้เผยแพร่ออกมาสู่ หมู่ข้าราชการบริหารและประชาชนทั่วไป ปาล์มประดับต่างๆ ที่เข้ามาในสมัยนั้น ได้แก่ ปาล์มยะวา (Livistona Rotundifolia) หมากเขียว (Phychosperma Elegans) จั๋ง (Rhapis Excesa) หมากเหลือง (Dypsis Lutescens) ส่วนปาล์มอินทยะลำ (Phoenix Dactylifera) นั้น เป็นพืชท้องถิ่นของแอฟริกาเหนือเข้ามาในประเทศสยาม สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 3 (พ.ศ. 2367-2394) โดยรัชกาลที่ 3 รับสั่งให้นำผลอินทยะลำหนัก 30 หาบ บรรทุกเรือใบมัจฉานุจากกรุงเทพฯ ไปให้เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์


