พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน

โดย...อจต.

มีหลักธรรมหมวดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คือ “อคติ” ซึ่งหมายถึงความลำเอียง ทั้งหมด 4 ข้อ ได้แก่ อคติเพราะรัก (ฉันทาคติ) อคติเพราะเกลียด (โทสาคติ) อคติเพราะกลัว (ภยาคติ) และอคติเพราะไม่รู้ (โมหาคติ) และความลำเอียงนั้นไม่เป็นผลดีทั้งต่อผู้ที่มีใจลำเอียงและต่อผู้ถูกลำเอียง หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความลำเอียง ในหลายๆ ครอบครัวเรามักจะได้ยินลูกบางคนพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่าพ่อแม่รักลูกคนโน้นคนนี้มากกว่า เช่น ถึงทำดีก็เสมอตัวพ่อแม่ไม่เห็นชื่นชนอะไร พอพลาดก็ถูกตำหนิอย่างนั้นอย่างนี้และชอบเปรียบกับคนโน้นคนนี้ว่าไม่เห็นเขาเป็นอย่างนี้ หรือเวลาลูกทะเลาะกันก็มักจะเข้าข้างลูกอีกคนตลอด

สถานการณ์ : สมมติครอบครัวหนึ่งมีลูก 2 คน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง พี่ชายอายุ 10 ขวบ น้องสาว 8 ขวบ พ่อค่อนข้างรักลูกสาวมากกว่า ขณะเดียวกันแม่ก็มักจะเอนเอียงไปทางลูกชาย จนบางครั้งพ่อแม่ต้องมามีปากเสียงกันเองเพราะลูก เช่น พอลูก 2 คนทะเลาะกัน น้องสาวร้องไห้ก็มาฟ้องพ่อว่าพี่แกล้ง พ่อก็ไปตำหนิและพูดจากไม่ดีกับลูกชายโดยไม่สอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น แม่เข้ามาได้ยินพ่อตำหนิลูกชายก็สวนขึ้นว่าเข้าข้างแต่ลูกสาว อะไรก็จะโยนความผิดให้พี่ เลยกลายเป็นเรื่อง

ทางออก : พ่อแม่จะรักลูกคนไหนมากคนไหนน้อยคงไม่ผิดหรอก ถ้าความรักมากรักน้อยนั้นปราศจากอคติ อย่างสถานการณ์นี้ในส่วนของพ่อก็ต้องบอกว่าพ่อมีอคติ เพราะไม่ทันสอบถามถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องก็โยนความผิดไปที่ลูกชายแล้ว ขณะเดียวกันคำพูดของแม่ที่ว่าอะไรๆ ก็โยนความผิดให้ลูกชายถือเป็นคำที่ไม่ควรพูดเช่นกัน เพราะเหมือนมีอคติซ่อนอยู่ พ่อแม่ที่เป็นแบบนี้ควรต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่ เพราะผลเสียจะเกิดขึ้นกับลูกทั้งสองคนในอนาคต โดยลูกที่พ่อเข้าข้างอาจคิดว่าไม่ว่าจะทำอะไรพ่อก็เข้าข้างอาจย่ามใจ ส่วนลูกที่ถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรมอาจเกิดการน้อยใจ คับแค้นใจ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเขาในอนาคต

ดังนั้น พ่อแม่ที่ดีต้องไม่มีอคติใดๆ ต่อลูก คือ ต้องไม่ปฏิบัติต่อลูกแต่ละคนที่จะทำให้เขาเห็นว่าพ่อแม่ลำเอียง ไร้ความยุติธรรม เพราะจะไปบั่นทอนความรู้สึกของลูกคนใดคนหนึ่ง หรืออาจจะทั้งสองคนให้หวั่นไหว รู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก หรือรักพี่หรือน้องอีกคนหนึ่งมากกว่าตัวเอง

ในยามที่ลูกทะเลาะกันสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ ต้องไม่ไปเปรียบเทียบหรือตัดสินว่าใครผิดใครถูก แต่ควรบอกลูกว่า พี่น้องต้องเล่นกันดีๆ ต้องรักกัน ถ้าเล่นกันแล้วทะเลาะกันต้องหยุดเล่น หรือว่าไม่ก็ต้องเบี่ยงเบนความสนใจลูกไปเรื่องอื่นๆ หรือใช้วิธีแยกให้พี่ไปทาง น้องไปทาง ไม่ต้องไปสอบสวนหรือตัดสินว่าใครผิดใครถูก แค่หยุดพฤติกรรมตรงนั้นก็พอ และเมื่อลูกๆ เล่นกันดีๆ คุณพ่อคุณแม่ก็ควรแสดงความชื่นชม เช่น เล่นกันดีๆ อย่างนี้พ่อแม่สบายใจ เป็นการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ลูกๆ รู้สึกว่าพ่อแม่ลำเอียงที่เข้าท่าเข้าที

Ask the Expert...

Q. ลูกสาววัย 14 ดูเป็นสาวก่อนวัย เราจะคุยกับแกอย่างไรดีคะ?

A.นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “การเป็นสาวก่อนวัยของลูกสาวยุคนี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะมีแบบอย่างที่ทำให้ลูกๆ ได้รับรู้และอยากที่จะเลียนแบบ การเป็นพ่อแม่ที่ดีจึงต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อที่จะสามารถรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับลูกได้ทุกรูปแบบ ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดปัญหาของความไม่เข้าใจกันในครอบครัวตามมา ที่จริงแล้วไม่ต้องพูดคุยอะไรมาก นอกจากทำตัวให้ใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อที่ลูกสาวจะได้มีอะไรก็เล่าให้ฟัง แล้วคุณก็สามารถที่จะวางแผนรับมือในเรื่องที่ต้องป้องกันต่างๆ ได้ บางคนก็หาหนังสือคู่มือวัยรุ่นที่คิดว่าลูกควรจะต้องได้รับรู้ให้เป็นของขวัญในเรื่องอะไรสักอย่างให้ลูกได้อ่าน ก็เป็นอีกวิธีที่หลายคนกำลังทำอยู่ และถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับความรัก ก่อนอื่นก็อย่าไปปิดกั้น เพราะจะยิ่งทำให้ “ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ” แต่พยายามที่จะเป็นส่วนหนึ่งของความรักของลูกวัยรุ่นโดยที่เธอไม่รู้ตัว เพราะไม่ได้ทำให้เธอรำคาญ แต่พยายามที่จะจัดการแบบเงียบๆ ให้ได้ดั่งใจคุณ”

He Said / She Said

เต้ยพนักงานบริษัท

“ชอบผู้หญิงฉลาด มีโลกของตัวเอง ทันคน แต่ไม่ก้าวร้าวนะครับ และก็ไม่อวดรู้ ดูน่าสนใจดีครับ”

หนูนาพนักงานบริษัท

“ชอบหนุ่มขรึมๆ ยิ้มเก่งๆ ดูน่ารัก มีเสน่ห์ ไม่ชอบผู้ชายพูดมาก (หัวเราะ) ดูเปิดเผยเกินไป ไม่ชวนให้ค้นหาค่ะ”

Quote (เครดิตภาพ – เอพี)

“คนอเมริกันนี่ ผมว่าเป็นคนที่นิสัยดีที่สุดในโลกแล้ว ผมเคยทำงานในยุโรปและในออสเตรเลียบ้านเกิด แต่ไม่มีคนที่ไหนเหมือนคนอเมริกัน พวกเขาไม่แสดงทีท่ากีดกันชาวต่างชาติเลย ถ้าคุณทำงานของคุณให้ดี พวกเขาจะอ้าแขนต้อนรับคุณเสมอ”

ฮิวจ์ แจ็กแมน นักแสดงชาวออสซี่