มีความสุขได้ทุกๆวัน....
ทุกๆ วันศุกร์ เรามักจะได้ยินคำว่า TGIFThanks God It’s Friday กันอยู่บ่อยๆ จนคุ้นหู ซึ่งคำนี้ความหมายก็คือ ขอบคุณพระเจ้า ถึงวันศุกร์แล้ว ซึ่งเป็นการแสดงถึงความดีใจ (อย่างแรง)
โดย...นพดล ตังวัชรินทร์ SUCCESS Coach @ MAX Potentials/คลังภาพโพสต์ทูเดย์
ทุกๆ วันศุกร์ เรามักจะได้ยินคำว่า TGIFThanks God It’s Friday กันอยู่บ่อยๆ จนคุ้นหู ซึ่งคำนี้ความหมายก็คือ ขอบคุณพระเจ้า ถึงวันศุกร์แล้ว ซึ่งเป็นการแสดงถึงความดีใจ (อย่างแรง) ที่จะได้เลิกงานในเย็นวันศุกร์แล้วไปหาความสุข เช่น พักผ่อนอยู่บ้าน หรือไปปาร์ตี้หรือออกไปช็อปปิ้ง หาอาหารดีๆ กินกันกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง หรือไม่ก็ไปตีกอล์ฟกับก๊วนขาประจำของเรา ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่เราได้ยินคนพูด TGIF เราก็มักจะรู้สึกคุ้นเคยและไม่แปลกใจอะไร เพราะคิดว่าทุกคนน่าจะย่อมดีใจที่จะได้หยุดไม่ต้องทำงาน แต่วันนี้ผมอยากพาพวกเรามาลองดูกันดีๆ ว่าคำนี้มันมีนัยอะไรแฝงอยู่ ลองคิดกันดูเล่นๆ นะครับ
อืม...ถ้าเราเฝ้ารอให้ถึงวันศุกร์แล้วจึงค่อยมีความสุข นั่นอาจจะแปลว่าเรากำลังไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในระหว่างวันจันทร์ถึงวันศุกร์หรือเปล่าครับ ก็อาจจะเป็นได้ ถ้าเราคิดว่าการทำงานเป็นเรื่องน่าเบื่อ มีแต่ปัญหา และต้องทนทำๆ ไปเพียงเพื่อให้มีเงินมีทองมาใช้หาความสุขในเย็นวันศุกร์ (รวมทั้งในวันเสาร์และอาทิตย์เช้า??)
ผมยกเว้นวันอาทิตย์บ่ายไว้ เพราะเดาว่าเราอาจจะเริ่มอยู่ในมู้ดที่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรแล้ว เพราะภาพของงานในวันจันทร์ที่กองรอเราอยู่เต็มโต๊ะจะเริ่มคืบคลานเข้ามาในความคิดของเราแล้ว) ถ้าเป็นอย่างนั้น นั่นก็แปลว่าเวลา 7 วันใน 1 อาทิตย์นั้น เราใช้เวลา 5 วันไปอย่างเฉื่อยๆ เนือยๆ เบื่อๆ อย่างไม่มีความสุขเพื่อรอเวลาแห่งความสุขเพียงแค่ 2 วัน
ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราได้ใช้เวลามีความสุขเพียงแค่ 28.571% ของเวลาทั้งหมดในชีวิตเราเท่านั้นเองน่ะสิครับ!!
ถ้าคนเรามีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 70 ปี นั่นเท่ากับว่าเราใช้เวลาถึง 50 ปีไปอย่างไร้ความสุขเชียวหรือนี่!! ทำไมเราต้องรอให้ถึงวันศุกร์ก่อนแล้วจึงค่อยเลือกที่จะมีความสุขนะ ทำไมเราไม่เริ่มที่จะเฉลิมฉลองให้ทุกวันเป็นวันแห่งความสุขและสามารถพูดได้ทุกวันว่า “Thanks God for Today”
“ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ของเรา” และในความหมายของผมนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจเชียร์ให้พวกเราเริ่มมีความสุขและเฉลิมฉลองการใช้ชีวิตด้วยการทำงานแบบทิ้งๆ ขว้างๆ จากนั้นก็แวบไปกินข้าวเที่ยงซะ 2 ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาทำงานก๊อกๆ แก๊กๆ แล้วก็ออกจากที่ทำงานสัก 5 โมงเย็น เพื่อจะไปปาร์ตี้กันต่ออย่างเมามัน จนกระทั่งตื่นไม่ทันเลยทำให้มาเข้าทำงาน 10 โมงเช้าในวันรุ่งขึ้น ...นี่ไม่ใช่การเฉลิมฉลองความสุขของชีวิตอย่างแท้จริงเลยครับ ผมอยากพาพวกเราไปลองคิดกันดูว่าเราจะหาความสุขจากการใช้ชีวิตในที่ทำงานทั้ง 5 วันได้อย่างเต็มเปี่ยมได้อย่างไรต่างหาก ทำอย่างไรให้เราเกิดความรู้สึกดีๆ และเกิดความภาคภูมิใจกับงานที่เรากำลังทำอยู่ ซึ่งจะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้เรารู้สึกสนุกและมีความสุขในการทำงานโดยที่ไม่ต้องรอให้ถึงวันศุกร์ต่างหาก
ทุกสิ่งในชีวิตเราสามารถมองได้สองด้าน หรือมากกว่าทั้งสิ้น ดังนั้นเราเลือกได้ที่จะมองด้านดี ด้านที่น่าสนใจของงานที่เรากำลังทำอยู่ แต่ปกติของคนเรานั้นมักจะเลือกที่จะมองเห็นถึงแต่ด้านไม่ดี หรือด้านที่เป็นปัญหาของงานเรามากกว่า เช่น เรามักจะเปรียบเทียบงานที่เราทำกับงานที่เพื่อนเราทำอยู่ที่อีกบริษัทหนึ่ง แล้วเราก็มักจะมองเห็นแต่ข้อเสียของบริษัทเราจนเราอยากจะย้ายไปอยู่บริษัทเพื่อน เชื่อมั้ยครับว่าพอเราย้ายไปอยู่บริษัทเพื่อนจริงๆ เราก็จะเห็นปัญหาอื่นๆ ของบริษัทนั้นอีก เพราะว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่บริษัทหรือตัวงานครับ แต่มันอยู่ที่ทัศนคติของเราที่มีต่องานต่างหาก
Laws of AgracHon อยากได้อะไรให้ คิดอย่างนั้น ความคิดของเรานี่ล่ะครับเป็น แม่เหล็กตัวดีที่ดึงดูดสิ่งที่เราคิดให้เกิดขึ้นจริง ที่ฝรั่งเขาบอกว่า Our thought and belief create Reality ถ้าเราคิดว่างานของเรามีแต่ปัญหาหรือมีแต่ความวุ่นวายน่าเบื่อ ความคิดนั้นก็จะดึงดูดให้งานนั้นมีแต่ปัญหาและมีแต่ความวุ่นวายน่าเบื่อเกิดขึ้นจริงๆ อย่างที่เราคิด ดังนั้นขอให้เราคิดและเชื่อว่างานที่เราทำอยู่คืองานที่สนุกและความวุ่นวายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ จัดการได้เสมอ มองงานเราในเชิงบวกเสมอ แล้วคุณจะพบว่าความรู้สึกของคุณที่มีต่องานเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ ขอให้เพียงแต่เราบอกกับตัวเองอยู่เสมอและเชื่ออย่างจริงใจกับคำพูดที่เราบอกตัวเองด้วย (นี่คือกฎแห่งแรงดึงดูด หรือ Laws of AgracHon ...ของอย่างนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ ทำไว้ไม่เสียหาย)
เรากำลังทำสิ่งดีๆ ให้กับตนเองและสังคม ขอให้คิดดูว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านใดบ้างกับเราและคนรอบข้างเรา ผมเชื่อว่างานทุกอย่างที่เรากำลังสร้างผลดีและก่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมได้ไม่มากก็น้อย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าเราค้นพบได้ว่างานที่เราทำนั้น Make a Difference หรืองานนั้นสามารถช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีกับคนอื่นๆ แล้วละก็ เราจะเกิดความภูมิใจและมีความสุขที่ได้ทำงานนั้นๆ รวมทั้งมีกำลังกายและกำลังใจที่จะทำงานนั้นต่อไปครับ
สร้างมิตรภาพ มนุษย์เราเนี่ยเป็นสัตว์สังคมนะ และจะรู้สึกทุกข์มากถ้ารู้สึกว่าเราไม่ได้รับการยอมรับให้อยู่ในสังคม ลองสังเกตดูสิครับว่าเดี๋ยวนี้คนในที่ทำงานส่วนมากหนีไปหาสังคมของตัวเองจากไหน ถ้าไม่ Facebook ก็ Twitter หรือ WhatsApp หรือ Chat Group ต่างๆ ...นี่เป็นทางออกของคนเราเพื่อจะไปหาเพื่อนหรือสังคมของเขาโดยไม่ต้องออกจากที่ทำงานครับ สิ่งที่จะทำให้การทำงานของเรามีความสุขเป็นอย่างยิ่งคือการสร้างสังคมที่ยอมรับซึ่งกันและกันในที่ทำงาน และการสร้างสังคมนี้เริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการหยิบยื่นมิตรภาพให้กับเพื่อนร่วมงานของเราทุกๆ คนครับ
นอกจากนี้แล้ว หากคนเรามีมิตรภาพให้กันและกัน เราจะมองเห็นทางออกของปัญหาหรือความขัดแย้งที่มีอยู่ในที่ทำงานได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อเลยครับ ดังนั้นการสร้างมิตรภาพเท่ากับเป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะ ได้ทั้งงานและความสุข...สุโค่ยจริงๆ ผมหวังว่าอย่างน้อยบทความนี้อาจจะช่วยให้ทุกท่านได้ฉุกคิดว่าจะทำอย่างไรดีให้ทุกวันของเราเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลอง เป็นวันแห่งความสุข แทนที่จะรอวันศุกร์เพื่อหาความสุข


