เปิดใจพ่อ-น้องชาย "ยุ้ย-รจนา"

พ่อยุ้ย-รจนา ยืนยันลูกไม่ได้เสพยา แต่ดื่มเหล้า-สูบบุหรี่หนัก อาการกำเริบ ย้ำอยากให้หายไวๆ เผยหากเป็นปกติยายที่อุบลฯจะรับไปดูแล

หลังจากที่มีสื่อตีข่าวว่าอดีตซูเปอร์โมเดลระดับโลก ยุ้ย รจนา เพชรกัณหา ชีวิตพลิกผันกลายมาเป็นคนเร่ร่อน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวในสภาพเหมือนคนวิกลจริต ก่อนนำส่งโรงพยาบาล แต่ไร้ญาติมารับกลับไปดูแล

ล่าสุด นายยศ เพชรกัณหา อายุ 63 ปี นายเพชรอุบล เพชรกัณหา อายุ 20 ปี พ่อและน้องชายต่างมารดา ยุ้ย รจนา เพชรกัณหา อดีตนางแบบสาวชื่อระดับโลก แถลงข่าวเปิดใจว่า ประมาณเดือนเศษ ทางสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ได้ติดต่อให้รับยุ้ยกลับไปดูแล หลักจากที่ยุ้ยเข้าบำบัดแล้วอาการดีขึ้น ตนจึงรับกลับไปรักษาตัวต่อที่จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งหลังจากยุ้ยได้พักที่บ้านประมาณเดือนที่แล้ว อาการดีขึ้นตามลำดับ ไปเข้าวัด ทำบุญ

อย่างไรก็ตาม ต่อมายุ้ยกลับมาสูบบุหรี่และดื่มเหล้าหนักขึ้น ประกอบกับยาที่ทางแพทย์ให้มาใกล้หมดแล้ว ยุ้ยจึงเริ่มมีอาการแย่ลง ทำลายข้าวของ ด่าท่อแม่เลี้ยง และเพื่อนบ้าน แต่ยืนยันยุ้ยไม่ได้เสพยา ขณะพักอยู่กับตนระหว่างพักที่บ้านได้มีเพื่อนที่อ้างว่ามาจากต่างประเทศมาพบและให้เงินใช้ประมาณ 3,000 บาท จากนั้น ยุ้ยก็ได้ออกจากบ้าน โดยบอกเพียงว่ามาหาพี่ชายชื่อหมู ที่อยู่ย่านมีนบุรี จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย จบทราบข่าวจากทางสื่อว่ายุ้ย กลายเป็นคนเร่ร่อน

ด้าน นายเพชรอุบล น้องชาย เล่าว่า รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้ยุ้ยรักษาตัวให้หาย จะได้มีที่อยู่ดีๆ ส่วนจะรับตัวกลับไปจังหวัดมหาสารคามหรือไม่นั้น คงเป็นไปไม่ได้เพราะยุ้ยมีปัญหากับแม่เลี้ยง ซึ่งไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะรับยุ้ยไว้ในความดูแลแทนจนกระทั่งหาย ส่วนหลังจากนั้น ยายที่จังหวัดอุบลราชธานี ได้ออกมาเปิดเผยว่าจะอาสารับเลี้ยงดูแทน เพราะเคยเลี้ยงยุ้ยตั้งแต่เด็ก ตนก็ยินดี

นายยศ ยังบอกว่า ระหว่างที่ ยุ้ย ได้เป็นนางแบบระดับโลก ไม่ได้ส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้ และหลังจากกลับมาต่างประเทศ ก็ได้มาหาตนเดือนละครั้ง ที่อู่รถย่านลาดพร้าว71  ซึ่งตนทำงานอยู่ และเคยพาไปหาหมอบ้าง ตอนนี้ยอมรับว่า อยากเจอลูก แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะมีเวลาไปเยี่ยมเมื่อไหร่ เพราะงานยุ่งมาก

“เงินจากที่เขาสร้างมา ผมก็ไม่รู้เรื่องกับเขาเลยครับ มีเพียงช่วงที่เขาตกต่ำก็มีโทร.มายืมบ้าง เราก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่ว่าไม่มากก็ถือว่าได้ช่วยไปเพราะว่าพ่อก็มีอีกครอบครัวหนึ่ง บางครั้งเมื่อเขามีชื่อเสียงหรือดัง ก็ไม่อยากให้พ่อไปยุ่งกับชีวิตเขามากมาย เพราะว่าตอนเด็ก ๆ พ่อก็ไม่ค่อยไปดูแลเขา กลัวเขาหาว่าเราจะไปหวังอะไรจากเขา เราก็อยู่เฉพาะครอบครัวของเรา เรื่องอื่นเราก็ไม่รู้เหมือนกัน มารู้อีกทีเขาก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่แล้ว ไม่มีที่จะไปแล้ว”