ธรรมสำหรับโจทก์
ความแตกแยกและปัญหาหลายอย่างในสังคมไทย อาจเกิดขึ้นเพราะความเห็นที่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม วิธีการพูด การกล่าวหา การโจทถึงความผิดหรือข้อผิดพลาดของอีกฝ่ายหนึ่ง
ความแตกแยกและปัญหาหลายอย่างในสังคมไทย อาจเกิดขึ้นเพราะความเห็นที่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม วิธีการพูด การกล่าวหา การโจทถึงความผิดหรือข้อผิดพลาดของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็อาจมีส่วนทำให้เกิดความไม่ปรองดองกันมากยิ่งขึ้น
ในทางธรรมะ สังคีติสูตร ได้รวบรวมถึงลักษณะของโจทก์ที่ดี 5 ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนให้ภิกษุผู้ที่จะเป็นโจทก์กระทำคุณธรรมเหล่านี้ไว้ในใจ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งจิตให้ประกอบด้วยเมตตา และการใช้คำพูดต่างๆ รวมทั้งต้องถูกกาลเทศะด้วย
ธรรมสำหรับโจทก์ 5 ประการ มีดังนี้
1.เราจักกล่าวโดยกาลอันสมควร จักไม่กล่าวโดยกาลอันไม่สมควร
2.เราจักกล่าวด้วยคำจริง จักไม่กล่าวด้วยคำไม่จริง
3.เราจักกล่าวด้วยคำอ่อนหวาน จักไม่กล่าวด้วยคำหยาบ
4.เราจักกล่าวด้วยคำที่ประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่กล่าวด้วยคำที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
5.เราจักกล่าวด้วยเมตตาจิต จักไม่กล่าวด้วยมีโทสะในภายใน
ภิกษุผู้เป็นโจทก์ที่ประสงค์จะโจทผู้อื่นพึงตั้งธรรม 5 ประการนี้ไว้ในภายในแล้วจึงโจทผู้อื่น
จะเห็นได้ว่าวิธีการเหล่านี้ นับว่าเหมาะสมมาก และเป็นไปโดยเนื้อหาความจริง ไม่มีการใส่ไฟ ไม่มีการตั้งใจให้เสียหน้า หรือพูดให้เกิดความแตกแยก สร้างความโกรธแค้นอาฆาต จึงเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความสามัคคีปรองดองในหมู่คณะ และแม้ผู้ที่กระทำผิด หากเป็นผู้มีจิตสำนึกที่ดีย่อมสามารถยอมรับผิด ขอโทษ และกระทำคืนได้อย่างสะดวกใจ
ในอรรถกถาท่านอธิบายเพิ่มเติมเรื่อง กาลอันสมควร ว่า
“ภิกษุเมื่อจะโจทผู้อื่น ไม่พึงโจทในท่ามกลางบริษัท ในโรงอุโบสถ ในโรงปวารณา หรือในโรงฉัน โรงเลี้ยง เป็นต้น เวลาที่ท่านนั่งพักกลางวัน พึงให้ท่านให้โอกาสเสียก่อนแล้วจึงโจทขึ้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ ขอท่านจงให้โอกาส ผมต้องการจะพูดกับท่าน ก็ครั้นสอบสวนบุคคลแล้ว ผู้ใดเป็นบุคคลเหลาะแหละพูดเท็จ ยกโทษมิใช่ยศขึ้นแก่พวกภิกษุทั้งหลาย ผู้นั้นแม้เว้นการทำโอกาสก็โจทได้”
ดังนั้นการที่จะกล่าวหาหรือโจทผู้ใด ต้องดูกาลเทศะที่เหมาะสมด้วย ในการที่เราจะโจท จะไต่ถามเรื่องความผิดของเขาที่เราได้ยินมา หรือได้เห็นมา หรือแค่สงสัยก็ตาม อย่างไรก็ตาม ก็ต้องดูบุคคลด้วย หากเป็นคนดี ที่เขายินดีอธิบาย ยินดีรับฟัง ยอมรับความจริง ก็ควรกระทำให้เหมาะสมเรื่องเวลาและโอกาส แต่ถ้าเป็นพวกบ่ายเบี่ยง และพูดเท็จ จะขอโอกาสพูดไต่ถาม เขาคงไม่ยอม ก็กระทำการโจทได้
แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ก็ควรพูดด้วยเมตตาจิต ด้วยคำจริง ไม่ใช่คำเท็จ และด้วยคำสุภาพไม่หยาบคาย ไม่ใช่การด่าทอ หรือใช้ถ้อยคำโวหารกระทบกระเทียบ และต้องเป็นคำที่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่เพื่อยั่วยุให้เขาโกรธ ให้เสียหาย บางคนจะโจทเขาเรื่องเดียว แทนที่จะเอาเรื่องที่เป็นประโยชน์มีสาระ แต่พยายามเอาเรื่องราวต่างๆ มาว่ากล่าว เรียกว่า ชักแม่น้ำทั้งห้า มาประจาน อย่างนี้ก็ต้องดูด้วยว่าเรื่องที่กล่าวไปเป็นถ้อยคำที่ประกอบด้วยประโยชน์จริงหรือไม่ หรือเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เป็นไปด้วยความโกรธความสะใจของผู้โจท เป็นต้น
หากปฏิบัติตามธรรม 5 ข้อแล้วจะเห็นได้ว่า การที่จะโจทผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมนั้นไม่ง่ายเลย เรื่องเหล่านี้ แม้ในการเป็นอยู่ในครอบครัว หรือในที่ทำงาน ก็ควรนำไปใช้ การที่เราจะไต่ถามความผิด ข้อสงสัย หรือจะตำหนิ ตักเตือนก็ตาม วิธีการควรกระทำให้เหมาะสมเช่นนี้ เช่น ไม่ควรกล่าวหากันในที่สาธารณะให้เขาได้ความอับอาย แม้เราจะเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้ใหญ่กว่า ก็ควรสอบถามในสถานที่และโอกาสที่เหมาะสม ถ้อยคำก็ควรเป็นคำที่ไม่ก่อให้เกิดความโกรธแค้น สอบถามโดยธรรมและรับฟังกันด้วย บางท่านไม่ยอมรับฟังคำอธิบาย กลายเป็นบอกว่าห้ามเถียง แบบนี้ก็เป็นการว่ากล่าวฝ่ายเดียว ซึ่งท่านอาจไม่ได้ข้อมูลทั้งหมด การที่เราว่ากล่าวผู้ที่ไม่ผิดหรือทำโทษเขาโดยไม่ผิดย่อมไม่สมควรและเป็นการสร้างบาปกรรม แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้น้อยที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเราก็ตาม ก็ไม่สมควร ควรคิดถึงใจเขาใจเรา ปุถุชน ผู้ยังมีกิเลสย่อมกระทำผิดพลาดได้บ้าง แต่ไม่มีใครอยากถูกด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย หรือโพนทะนาความผิดของเขา หรือประจานให้เขาได้อับอาย
ดังนั้น ก่อนที่เราจะไปว่าใคร ควรทำใจให้เป็นไปตามธรรมทั้ง 5 ข้อนี้ก่อน ก็จะลดปัญหาและการต่อต้านจากฝ่ายที่ถูกโจทได้ และควรรับฟังเหตุผลของเขาด้วย
ผู้ที่ถูกโจทหากไม่ได้กระทำผิดจริงก็ควรอธิบายให้กระจ่าง ตามความเป็นจริงด้วยถ้อยคำและวิธีการที่เหมาะสมเช่นกัน หากกระทำผิดจริง ก็ควรยอมรับ ไม่บ่ายเบี่ยง ขอโทษ และกระทำคืนในสิ่งที่ทำได้
อย่างไรก็ตาม การกระทำที่ผิดศีลผิดธรรม ผู้ใดกระทำก็ย่อมได้รับบาปกรรม ดังนั้น เมื่อเราทำผิดจึงควรยอมรับ และแก้ไข โดยผู้ที่ตำหนิหรือกล่าวโทษ ก็ควรกระทำด้วยเจตนาที่ปรารถนาดี มิใช่ด้วยความโกรธแค้น ก็จะเป็นไปเพื่อควรเจริญของหมู่คณะ หากทำผิดพลาดแล้วย่อมนำไปสู่ปัญหาที่มากขึ้น และความแตกแยกในหมู่คณะได้


