โลกแห่งความฝัน ณ แดนมหัศจรรย์ ‘ปราง เวชชาชีวะ’
โดย...โจ เกียรติอาจิณ / ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช
โดย...โจ เกียรติอาจิณ / ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช
เห็นนามสกุลคงไม่ต้องเดาหรอกว่า “ปราง เวชชาชีวะ” คือใคร
ลูกสาว (อดีต) นายกฯ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นั่นไง ซึ่งเธอกำลังจัดแสดงผลงานศิลปะเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ ภาควิชาทัศนศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
งานเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อค่ำวันที่ 4 ก.ค. ท่ามกลางบรรยากาศการตัดริบบิ้นแบบเป็นกันเอง ระหว่างพ่อลูก มีสายตาแขกวีไอพี เพื่อนพ้อง และผู้คนในแวดวงศิลปะ ที่คอยจับจ้องในฐานะสักขีพยาน
ปรางปลีกตัวมานั่งคุยกับเราอย่างสบายอารมณ์เมื่อพิธีการเสร็จสิ้นลง โดยเธอปล่อยให้ทุกคนชื่นชมผลงานตามอัธยาศัย ไล่ตั้งแต่ภาพแรกจนถึงภาพสุดท้าย เดินตั้งแต่ชั้น 1 ขยับสู่ชั้น 2
I wonder a wonderland เป็นชื่อนิทรรศการที่ปรางตั้งขึ้น เพื่อสะท้อนความหมาย ความรู้สึก และจินตนาการ ผ่านภาพสีน้ำมัน ที่เธอสะบัดพู่กันสร้างสรรค์ อันมีความฝันฟุ้งๆ ที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในสมองของเธอ แล้วก็การท่องเที่ยว การกิน ไหนจะนิสัยส่วนตัวอีกเล่า ก็ล้วนเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการต่อยอดทำงานชุดนี้
“แรงบันดาลใจนี่มันรวมไว้หลายอย่างค่ะ ชีวิตประจำวันก็ใช่ การท่องเที่ยวการเดินทางไปนั่นนู่นนี่ รวมไปถึงความฝันที่หนูชอบฝัน หนูก็หยิบมาเป็นส่วนหนึ่งของงาน หรือกระทั่งนิสัยส่วนตัวของหนู หนูก็นำมาใส่ในเฟรม มันก็เลยเป็นการรวมความของคำว่า I wonder a wonderland ได้ชัดเจนที่สุดค่ะ”
ผลงานเดี่ยวของปรางมีทั้งหมด 11 ชิ้น 5 ชิ้น มีขนาดใหญ่พอสมควร อีก 6 ชิ้น ถูกย่อขนาดให้เล็กลงมานิดหน่อย และบางชิ้นนั้นก็เป็นงานทีสิส ที่เธอทำส่งอาจารย์ก่อนจบการศึกษา ขณะที่บางชิ้นเป็นงานสดใหม่ที่เธอลุยทำด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ
กระนั้น แม้จะเป็นผลงาน 2 ส่วนที่คาบเกี่ยว 2 ช่วงเวลา ทว่าสาระที่เธอนำเสนอก็ดูจะสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน ภายใต้ธีมความหมาย ความรู้สึก และจินตนาการ อันมีกรอบแห่งความฝันเป็นเดิมพัน น่าสนใจคือว่า เธอใช้แมวเป็นตัวเอกในทุกๆ เฟรมผ้าใบ
“หนูคิดว่าหนูมีนิสัยเหมือนแมวนะ (หัวเราะ) คือจะชอบความเป็นอิสระ ชอบอยู่คนเดียว รักสันโดษ และมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง หนูก็เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นแมว และพอได้ทำงานศิลปะของตัวเอง หนูก็ใช้แมวนี่ล่ะเป็นสัญลักษณ์แทนตัวหนูและเป็นสัญลักษณ์ในสิ่งที่หนูคิด”
แมวที่อยู่ในเฟรม เป็นแมวที่เลี้ยงอยู่เหรอ เราโพล่งถามออกไปตรงๆ แต่คำตอบที่ได้ ปรางรีบปฏิเสธว่าเธอไม่เคยเลี้ยงแมวสักตัวเลยในชีวิต
“ไม่เคยเลี้ยงแมวเลยค่ะ เคยเลี้ยงหมา แต่ดูแล้วหนูไม่น่าจะถูกกับหมา ส่วนแมวเพิ่งจะมีความคิดอยากเลี้ยงตอนหลังๆ นี่แหละค่ะ ก่อนหน้าก็ชอบไปคาเฟ่แมว ไปเล่นกับมัน รู้สึกว่ามันน่ารักดี มันนิ่ง มันรักอิสระ แต่บางทีก็มีขี้อ้อน ซึ่งมันคล้ายกับหนูนะ (ยิ้มกรุ้มกริ่ม) ยิ่งพันธุ์เปอร์เซีย คล้ายหนูเลยล่ะ เพราะชอบนอนและขี้เกียจ (หัวเราะร่วน) เป็นพันธุ์ที่นอนเก่งมากๆ ก็เลยอยากเลี้ยงดูบ้าง”
นิทรรศการชุดนี้ ปรางสะท้อนความเป็นตัวเองด้วยเนื้อหาสาระที่อยู่ในแนวทางอัศจรรย์ศิลป์ (Surreal Fantasy) เต็มไปด้วยอารมณ์เพ้อฝัน มีความเป็นแฟนตาซีสุดขั้ว ยั่วล้อกับความรู้สึกของตัวเธอ โดยนำพาผู้ชมดำดิ่งสู่ดินแดนมหัศจรรย์ที่เธอสร้างขึ้นด้วยทีท่ากึ่งจริงกึ่งเล่น
“หนูว่าการทำงานศิลปะมันคือการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ มันก็เป็นการพักผ่อน ได้อยู่ในโลกส่วนตัว หลีกหนีความวุ่นวายในชีวิตจริง แล้วมาอยู่ในโลกแห่งความฝัน ได้นึกถึงดินแดนที่เราอยากไปอยู่ ภาพหนูคงไม่มีอะไรให้ตีความมากมาย เพราะส่วนใหญ่ก็เอามาจากชีวิตประจำวัน ความคิด ความรู้สึก เน้นอารมณ์ความเป็นตัวหนู”
จบจากนิทรรศการแรกนี้แล้ว ปรางคงยังไม่มีผลงานชุดใหม่ในเร็ววัน เพราะเธอมีแพลนจะเดินทางไปเรียนต่อด้านศิลปะที่ต่างประเทศ แต่จะเป็นที่ใดเธอไม่รีบตัดสินใจ ทั้งสัญญาว่าจะทำงานศิลปะควบไปด้วย เพื่อจะได้ฝึกปรือฝีแปรงและความคิดสร้างสรรค์
“ดีใจและตื่นเต้นมากกกกกค่ะที่มีนิทรรศการเดี่ยว ตื่นเต้นตรงที่ทุกอย่างหนูต้องตัดสินใจคนเดียว คิดเองหมดเลย แต่ก็ถือเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งของการเป็นศิลปิน และหนูพยายามบอกกับตัวเองว่าต้องไม่กดดันค่ะ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ต้องทำให้เต็มความสามารถที่สุดค่ะ”
สนใจชมผลงานของปราง ก็แวะไปที่ ก้อยอาร์ตแกลเลอรี่ สุขุมวิท 31 นิทรรศการจัดแสดงจนถึงวันที่ 31 ก.ค.นี้ สอบถามการเข้าชม โทร. 026623218
ศิลปินไอดอล
ถามหาศิลปินที่เป็นดั่งไอดอลและมีอิทธิพลต่อการทำงานศิลปะ ปรางบอกอย่างไม่เคอะเขินว่าชื่นชอบ “ม.จ.มารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตร” ทั้งการเลือกใช้สีและประเด็นที่นำเสนอ ค่อนข้างเพ้อฝันแต่เสียดสีได้แสบสัน องค์ประกอบชวนหลงใหลให้หลุดจากกรอบความคิดและจินตนาการ
“ท่านหญิงเป็นศิลปินที่เก่งมากๆ ค่ะ มีความเป็นตัวเองสูง แล้วท่านก็แสดงพลังความคิดและจินตนาการในแบบของท่านได้อย่างชัดเจน หนูชอบที่ท่านหญิงเลือกใช้องค์ประกอบภาพที่ลงตัวกับเนื้อหาอันแหลมคม ท่านหญิงถือเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการทำงานศิลปะชุดนี้ของหนูเลยนะคะ”
ม.จ.มารศีสุขุมพันธุ์ เป็นพระธิดาพระองค์เดียวของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฎพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต กับ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ประสูติเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2474 ณ วังบางขุนพรหม ทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวรรณคดี จากมหาวิทยาลัย ณ กรุงปารีส และปริญญาเอก สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ จากมหาวิทยาลัยแห่งมาดริด ประเทศสเปน
ทรงสนพระทัยและทรงศึกษาการวาดภาพด้วยพระองค์เองอย่างจริงจัง ขณะพระชันษาราว 30 ปี โดยได้รับคำแนะนำเรื่องหลักในการวาดภาพจิตรกรรมยุคเรอเนสซองซ์และเทคนิคการใช้สีจากเพื่อนศิลปินแนวเซอร์เรียลิสต์ยุคนั้น
ผลงานแนวเหนือจริงเจือความเป็นแฟนตาซี L’art de Marsi นับเป็นผลงานสร้างชื่อ เคยถูกรวบรวมเป็นหนังสือเล่มหนา ทั้งยังเคยจัดนิทรรศการสุดอลังการให้คอศิลปะได้ชื่นชมมาแล้วเมื่อราวเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา และ ม.จ.มารศีสุขุมพันธุ์ ถึงชีพิตักษัย เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา ณ ประเทศฝรั่งเศส


