posttoday

การปลูกกล้วยไม้ดิน

14 กรกฎาคม 2556

กล้วยไม้ดินในสกุล Spathoglottis รู้จักกันอย่างแพร่หลายในบรรดานักปลูกเลี้ยงและผสมพันธุ์กล้วยไม้ในเมืองไทย

โดย...ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม

กล้วยไม้ดินในสกุล Spathoglottis รู้จักกันอย่างแพร่หลายในบรรดานักปลูกเลี้ยงและผสมพันธุ์กล้วยไม้ในเมืองไทย กล้วยไม้สกุลนี้จัดเป็นกล้วยไม้ดินที่มีการเจริญด้านข้าง (Sympodial) โดยมีความสัมพันธ์กับกล้วยไม้สกุลต่างๆ เช่น Acanthephippium, Bletia, Calanthe และ Phajus

กล้วยไม้สกุลสปาโตกลอสติสนี้พัฒนาตัวอยู่ในดินและถูกเรียกชื่อสามัญว่า Boat Orchids บ้าง Garden Orchids บ้าง บางครั้งชาวต่างประเทศอาจเรียกชื่อมันสั้นๆ ว่า สแปทส์ (Spaths) ก็มี

จะอย่างไรก็ตาม กล้วยไม้ดินสปาโตกลอสติสมีมากกว่า 50 ชนิด โดย Rolfe ตั้งชื่อสกุลให้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1896 ชนิดที่พบบ่อยและรู้จักกันดี ได้แก่ Spathoglottis plicata, S.kimballiana และ S.pubescens แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีสปาโตกลอสติสลูกผสมใหม่ๆ ออกมาอย่างหลากหลาย ให้สีสันที่ฉูดฉาดดอกใหญ่งดงามกว่าชนิดป่า พ่อแม่ดั้งเดิม

กล้วยไม้สกุลนี้พบในป่าเขตร้อนตั้งแต่ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา อินเดีย พม่า หมู่เกาะแปซิฟิก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฟิลิปปินส์มีหลายชนิด เช่นเดียวกับป่าเมืองไทย ซึ่งมีอยู่ราว 6 ชนิด (Species) ใบของกล้วยไม้สกุลนี้คล้ายใบปาล์มหรือใบหมาก ลักษณะเป็นแผ่นบางแผ่กว้าง ดูคล้ายใบไผ่ขนาดใหญ่ มีเส้นใบคู่ขนานชัดเจน หากปราศจากดอกเสียแล้วจะดูคล้ายหญ้าหรือไผ่ ส่วนที่เป็นใบโผล่ออกมาจาก หัวเทียมหรือลำลูกกล้วยกลม ซึ่งจะแตกหัวได้เป็นกระจุกหากอายุมากขึ้น และจะแทงช่อดอกแบบช่อเชิงลด (Spike) ออกมาติดต่อกันได้ทั้งปี สีดอกมีตั้งแต่ม่วง ชมพู เหลือง ขาว เราอาจปลูกสปาโตกลอสติสลงแปลงปลูกประดับสวนได้ หากมีการเตรียมดินโดยยกแปลงถมด้วยอิฐหักกากปูนและถ่านรองก้นแปลง จากนั้นจึงผสมเครื่องปลูกบนแปลง โดยใช้ทรายหยาบผสมกาบมะพร้าว (สับใหญ่) ถ่าน และเติมปุ๋ยคอกผสมแกลบสด (หมักนาน 5-6 เดือน) ให้และใช้ปุ๋ยออสโมโคท 14-14-14NPK โรยหน้าแปลงให้

สำหรับการปลูกกล้วยไม้ดินสกุลนี้ในกระถางทำได้โดยใช้กระถางดินเผาขนาด 12 นิ้ว หรืออาจใช้กระถางพลาสติกขนาด 6 นิ้ว ปลูกด้วยกาบมะพร้าว (สับกลาง หรือสับใหญ่) ผสมถ่าน ทรายหยาบ กล้วยไม้สกุลนี้บางชนิดจะผลัดใบทั้งหมดในฤดูแล้ง บางชนิดอาจสูงถึง 36 นิ้ว และเริ่มแทงช่อดอกเมื่อต้นสูง 12 นิ้ว ดังนั้น เราจึงปลูกสะสมกล้วยไม้ดินสกุลนี้ได้อย่างหลากหลาย โดยพรางแสงให้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจปรับระดับแสงให้เหลือเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ ในฤดูร้อนของภาคกลางประเทศไทย

ชนิดที่พบในป่าเมืองไทย ได้แก่ เอื้องตาลเดี่ยวหรือเอื้องหัวข้าวเหนียว (S.affinis) พบหลายจังหวัดในป่าเต็งรังและป่าดิบเขาระดับตั้งแต่ 200-1,200 เมตร และออกดอกในช่วงฤดูฝนต้นหนาว นิยมนำมาปลูกเลี้ยงกันเป็นไม้กระถาง และใช้ผสมข้ามเพื่อสร้างลูกผสมเอื้องดินลาว (S.pubescens) หรือเอื้องนวลจันทร์ พบทั่วไปในป่าดิบเขาระดับ 300-1,500 เมตร ภาคเหนือและภาคอีสานดอกสีเหลือง กลีบเลี้ยงคู่ล่างมักมีแถบสีน้ำตาลปนแดงขนาดใหญ่

ศัตรูและโรค

กล้วยไม้ดินสกุลนี้มักมีโรคใบจุดเน่าสีดำบนใบ ซึ่งเกิดจากเชื้อราอาจใช้สารเคมีป้องกันโรค เช่น แคพแทนริโดมิล (Ridomil) หรือบาวิสติน (Bavistin) ใช้ในช่วงฤดูฝน ซึ่งมีเชื้อราระบาดรุนแรง สำหรับเรื่องของไรแดงและเพลี้ยไฟนับเป็นศัตรูที่อาจพบได้ในทุกช่วงการเจริญ การควบคุมทำได้โดยใช้ยาฆ่าเพลี้ยและไรแดง เช่น แลนเนท (Lannate) หรือหากจะใช้ในระยะที่เริ่มระบาดให้ใช้เซวิ (Sevin) ซึ่งเป็นพิษน้อยและปฏิบัติตามคำแนะนำข้างกล่องบรรจุเสมอ เพราะสารเคมีทุกชนิดย่อมมีอันตรายเสมอ

การขยายพันธุ์

สปาโตกลอสติสขยายพันธุ์โดยการแบ่งขยายลำลูกกล้วย โดยแบ่งกอออกเป็น 2-3 ลำต่อหนึ่งกระถาง ควรระมัดระวังเรื่องความสะอาดของกรรไกรหรือมีด โดยจุ่มล้างในน้ำสบู่และเช็ดด้วย 70 เปอร์เซ็นต์ เอทิลแอลกอฮอล์ก่อนการตัดแบ่งกอและหลังการแบ่งกอทุกครั้ง การตัดรากและใบที่แห้งออก เพื่อให้ต้นปลูกใหม่ดูสวยงามและปราศจากโรค

เทคนิคสำคัญของการปลูกกล้วยไม้ดินคือ ดูแลให้เครื่องปลูกระบายน้ำและอากาศได้ดี การเติมอินทรีวัตถุ เช่น ใบก้ามปูผุผสมกาบมะพร้าวสับเล็กให้อย่างน้อยหนึ่งครั้งทุกๆ 3 เดือน ช่วยให้ต้นแข็งแรงเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมซีเกมส์ 2025 วันนี้ 20 ธ.ค. 68 ลิ้งก์ดูสด ถ่ายทอดสดช่องไหน