posttoday

บาบ๋า : กาวเวลา เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ “ความรัก”

06 กรกฎาคม 2556

ตามประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่า มีคนจีนอพยพมาทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช

โดย...กาญจน์ อายุ

ตามประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่า มีคนจีนอพยพมาทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช ต่อเนื่องไปถึงสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 3 จนถึงรัชกาลที่ 5 มีชาวฮกเกี้ยนอพยพเข้าเมือง “ภูเก็ต” เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่เข้ามาใช้แรงงานในเหมืองแร่ บ้างก็เข้ารับราชการจนได้รับตำแหน่งพระยา ท่านนั้นคือ “พระยารัษฎานุประดิษฐ์” หรือคอซิมบี้ ณ ระนอง ผู้ชักชวนให้ชาวฮกเกี้ยนสร้างบ้านเรือนแบบชิโนโปรตุกีส มรดกทางสถาปัตยกรรมที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน

เรื่องมันเริ่มจากชาวฮกเกี้ยนเหล่านี้ ชายจีนส่วนใหญ่ที่อพยพเข้ามาเป็นคนโสดหรือเป็นเด็กชายที่มาเติบโตอยู่ในเมืองภูเก็ต จึงเกิดการแต่งงานระหว่างชาวจีนและสาวภูเก็ตขึ้น ความพิเศษได้ตกอยู่ที่ทายาทผู้ได้รับการขนานนามใหม่ว่า “บาบ๋า” (Baba) หรือลูกครึ่งไทยจีน หรืออาหมวยอาตี๋ถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ คำว่า บาบ๋า เป็นคำที่ชาวภูเก็ตเรียกทั้งชายและหญิงที่เป็นลูกครึ่ง แต่ถ้าเป็นคนมะละกา ปีนัง สิงคโปร์ จะเรียกผู้ชายว่า บาบ๋า และเรียกผู้หญิงว่า ยอนย่า (Nyonya)

เรื่องเริ่มซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อมีคนชาติอื่นมาเกี่ยวข้องแต่ไม่ยากที่จะเข้าใจ ย้อนกลับไปไม่ต่ำกว่า 600 ปีมีชาวจีนอพยพไปอยู่ในมาเลเซีย และประเทศใกล้เคียงอย่างสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ คำว่า บาบ๋าและยอนย่า ได้เกิดขึ้นในที่เหล่านี้ใช้เรียกลูกที่เกิดจากชาวจีนและคนพื้นเมือง อิทธิพลเรื่องนี้ได้ถูกส่งต่อมากับชาวจีนที่อพยพต่อมายังไทยโดยเฉพาะจากมาเลเซีย (มะละกาและปีนัง) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องแต่งกาย อาหาร ภาษา หรือประเพณีปฏิบัติ อย่าง “งานวิวาห์” ที่สะท้อนความเป็นจีนผสมมาเลย์มากที่สุด

เจ้าบ่าวเป็นชาวจีนฮกเกี้ยน เจ้าสาวเป็นชาวพื้นเมืองภูเก็ต เกิดเป็นงานวิวาห์บาบ๋า แต่อย่างที่จั่วหัวไปตั้งแต่บรรทัดแรก “งานวิวาห์นี้ไม่ได้เกิดเพราะความรัก”

ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดงานวิวาห์คือ “อึ่มหลาง” หรือแม่สื่อผู้ไปสู่ขอเจ้าสาวให้หนุ่มชาวจีน เมื่อถึงวัยมีครอบครัวพ่อแม่ฝ่ายชายหรือตนเองจะขอให้อึ่มหลางไปหาผู้หญิงให้ตน คนที่เป็นอึ่มหลางได้จึงต้องมีวาทศิลป์ หว่านล้อมเก่ง โน้มน้าวใจเป็นเลิศเพื่อให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงยอมรับฝ่ายชาย โดยระหว่างที่มีการทาบทามกันนี้ฝ่ายหญิงและชายจะไม่ได้พบหน้ากันจนกระทั่งวันแต่งงาน หรือเรียกว่า “คลุมถุงชน” ก็ไม่ผิด เพราะงานนี้เกิดขึ้นจากการตกลงของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ไม่มีเรื่องความรักเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่อาจมีเรื่อง “ความต้องการ” เข้าไปเอี่ยวถ้าเกิดจากการขอร้องจากตัวผู้ชาย

วันวิวาห์เป็นงานมงคลยิ่งใหญ่และพิถีพิถันสูง เริ่มตั้งแต่ชุดเจ้าสาวที่มีลักษณะจีนก็ไม่ใช่ มุสลิมก็ไม่เชิง เป็นชุดครุยยาวคล้ายชุดฮองเฮาของจีนแต่ก็มีการปักและใช้สีม่วงปะปนเหมือนสาวมุสลิม ส่วนประกอบที่จำเป็นอันดับหนึ่งคือ มงกุฎดอกไม้ไหว ดอกไม้บนมงกุฎที่ไหวติงใช้เป็นตัววัดความตื่นเต้นของเจ้าสาว ถ้าไหวมากแสดงว่าตื่นเต้นที่จะเข้าพิธีมาก นอกนั้นยังมีหงส์ สัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่มวลสัตว์ปีกสื่อถึงอำนาจในการปกครองสามี และผีเสื้อสัญลักษณ์ของคู่แท้ระหว่างผีเสื้อและดอกไม้ประดับอยู่บนมงกุฎด้วย เครื่องประดับอื่นๆ ได้แก่ หลันเตป๋าย ปิ่นตั๊ง โก๊วซ้าง (บรรดาสร้อยคอและเข็มกลัดเสื้อ) รวมถึงต่างหู กำไลมือ และกำไลข้อเท้าที่เข้าชุดกัน ส่วนชุดเจ้าบ่าวไม่ได้แต่งแบบฮ่องเต้แต่จะใส่สูทแบบฝรั่งซึ่งเป็นอิทธิพลตะวันตกที่ได้รับมาตั้งแต่โบราณ แต่บนเสื้อจะมีเข็มกลัดดอกไม้เป็นเอกลักษณ์ของชุด

ขั้นตอนของพิธีเริ่มที่บ้านเจ้าบ่าว อึ่มหลางจะเป็นคนพาเจ้าบ่าวมาหาเจ้าสาวที่บ้าน โดยนั่งรถบาเก้หรือรถฝรั่งนำขบวนด้วยวงดนตรีตี๊ต่อตี๊แซ้ (ผสมเครื่องดนตรีแบบฝรั่งและจีน) เจ้าสาวจะรออยู่ในห้องเก็บตัว เมื่อทั้งคู่ได้พบหน้ากันอึ่มหลางจะแนะนำแต่ละฝ่ายให้รู้จัก จากนั้นออกมาไหว้เทวดาฟ้าดินหน้าบ้าน (จีน) ต่อด้วยไหว้พระในบ้าน (ไทย) และเข้าสู่ประเพณียกน้ำชาหรือผ่างเต๋ เป็นการคารวะพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย (จีน) และจบลงด้วยงานเลี้ยง

งานวิวาห์บาบ๋าจึงไม่ใช่เป็นเพียงงานมงคลของหนุ่มสาว แต่คืองานที่รวม “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” ที่สะท้อนถึงรากเหง้าของคนท้องถิ่นและประวัติศาสตร์ของพื้นที่

ปัจจุบันงานวิวาห์บาบ๋าภูเก็ตได้สูญหายไปแล้วโดยที่คนภูเก็ตเองก็ไม่รู้ตัว เหมือนกับว่าหน้าประวัติศาสตร์ด้านวัฒนธรรมได้ถูกฉีกขาดไปตอนไหนไม่ทราบ แต่โชคดีที่มีคนกลุ่มหนึ่งเก็บกระดาษหน้านั้นกลับมาได้ “สมาคมเพอรานากัน” (ความหมายของเพอรานากันอ่านล้อมกรอบ) ได้ฟื้นฟูประเพณีนี้ขึ้นมาโดยร่วมมือกับ จ.ภูเก็ต และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดงานวิวาห์บาบ๋าภูเก็ตขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ถึงปีนี้ก็ยังมีอยู่และเพิ่งจัดไปเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2556

แต่การฟื้นฟูนี้ไม่ได้หวังให้ประเพณีวัฒนธรรมโบราณของชาวภูเก็ตกลับมาเท่านั้น แต่ยังหวังตัวเลขทางการตลาดเป็นจำนวนท่องเที่ยวที่จะเข้ามาร่วมแต่งงานหรือมาเพื่อชมงานนี้ แต่ฉันเชื่อว่าชาวบาบ๋าในภูเก็ตไม่อยากเห็นงานวิวาห์นี้เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งในแผนส่งเสริมการตลาด เพราะฉันเองก็อยากเห็นหนุ่มสาวรุ่นใหม่นำเอาประเพณีนี้ไปใช้ในงานแต่งงานของตนโดยที่ไม่ต้องรองานประจำปี

ฉันอยากเห็นปัจจุบันเชื่อมโยงไปหาอดีตและสืบเนื่องไปถึงอนาคต และเชื่ออย่างยิ่งว่าชาวบาบ๋าที่มีอยู่มากกว่าครึ่งของประชากรภูเก็ตก็อยากเห็นเช่นกัน ฉ่ายม้าย...

เพอรานากัน เป็นภาษามลายูตามพจนานุกรมของมาเลเซีย แปลว่า “A person born in the country but of a foreign race” แปลเป็นไทยว่า บุคคลที่เกิดในประเทศ ซึ่งมีพ่อแม่เป็นต่างด้าว เช่น ถ้าอยู่ในประเทศไทย มีแม่เป็นคนไทย มีพ่อเป็นคนจีน ลูกที่เกิดมาจะเป็นเพอรานากันจีน เป็นต้น ดังนั้นคำว่าเพอรานากันและบาบ๋ามีความหมายสับเซตกัน นั่นคือ บาบ๋าเป็นเพอรานากันจีนคนหนึ่ง แต่เพอรานากันจีนทุกคนไม่ใช่บาบ๋า เพราะบาบ๋าจะมีวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของตัวเอง

ที่มาข้อมูลจากเอกสารงานวิวาห์บาบ๋าภูเก็ต โดย ฤดี ภูมิภูถาวร และคำสัมภาษณ์ของ นพ.โกศล แตงอุทัย นายกสมาคมเพอรานากัน ผศ.ปราณี สกุลพิพัฒน์ รองประธานสมาคมเพอรานากัน คุณจรินทร์ นีรนาทวโรดม ผู้เชี่ยวชาญด้านชุดบ่าวสาวแบบบาบ๋าดั้งเดิม และคุณชาญชัย ดวงจิตต์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ คริสตัล พาเลซ คาราบาวคัพ วันนี้