posttoday

คุยกับปรมาจารย์ขลุ่ยเมืองไทย 'ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี'

16 มิถุนายน 2556

เสียงบรรเลงขลุ่ยอันลือลั่นสนั่นปฐพีในเพลงเมด อิน ไทยแลนด์ ของวงคาราบาว เมื่อสามสิบปีก่อน ไม่เพียงแต่ทำให้เพลงนี้สมบูรณ์แบบไร้เทียมทาน

โดย...อินทรชัย พาณิชกุล ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

เสียงบรรเลงขลุ่ยอันลือลั่นสนั่นปฐพีในเพลงเมด อิน ไทยแลนด์ ของวงคาราบาว เมื่อสามสิบปีก่อน ไม่เพียงแต่ทำให้เพลงนี้สมบูรณ์แบบไร้เทียมทาน กลายเป็นตำนานบทหนึ่งของวงการเพลง ทว่ายังส่งผลให้ ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ขึ้นชั้นเป็นมือขลุ่ยระดับแถวหน้าของเมืองไทยด้วย

จากเด็กน้อยที่วิ่งเล่นตามท้องทุ่งใน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี วันหนึ่งบังเอิญไปได้ยินเสียงขลุ่ยท่อนสั้นๆ จากเพลงธรณีกรรแสงในงานศพ บังเกิดความประทับใจ จึงขอเงินยายซื้อขลุ่ยตัวแรก นับแต่นั้นชีวิตก็ไม่เหมือนเดิม เขาหัดเป่าท่อนเดียว ขยับมาเป็นทั้งเพลง ตามมาด้วยเพลงที่สอง สาม สี่ ห้า ต่อไปไม่รู้จบ เสียงดนตรีนำพาไปเข้าเรียนต่อยังเอกดนตรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ร่วมวงคาราบาวจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งออกอัลบั้มเดี่ยว ทั้งร่วมงานกับนักดนตรีมากหน้า ได้รับเชิญไปเป่าขลุ่ยเปิดงานใหญ่ระดับชาติเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ก่อนมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตเมื่อได้แสดงฝีมือต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครั้งเสด็จที่ทุ่งมะขามหย่อง ท่ามกลางประชาชนกว่า 73 ล้านคนที่ชมผ่านรายการถ่ายทอดทางโทรทัศน์

“ไม่น่าเชื่อว่าเสียงขลุ่ยเพียงท่อนเดียวจะพามาไกลขนาดนี้ จากคิดแค่หัดเป่าให้เป็นเพลงที่ชอบ กลายเป็นพกติดตัวมาตลอด วันนี้พูดได้เลยว่าขลุ่ยคือชีวิตของผม ผมบอกคนอื่นอยู่เสมอว่าทำอะไรที่มันเกิดจากความรัก มันจะมีความสุข จะทำได้ดี ไม่ใช่เริ่มต้นว่ากูต้องเก่ง ต้องดัง ต้องรวย คิดแบบนี้มันตัดทอนส่วนของชีวิตไปเยอะ ส่วนที่ว่านั้นคือส่วนที่ได้สัมผัสกับดนตรีจริงๆ ได้สัมผัสกับความงดงามจริงๆ”

อาจารย์ธนิสร์ในวัย 63 แววตายังคงเจิดจ้า ท่วงท่ากระฉับกระเฉงทุกครั้งที่ได้เล่าให้คนอื่นฟังถึงเรื่องราวชีวิตที่ผูกพันกับเสียงขลุ่ย เช่นเดียวกับวันนี้ที่เขาเปิดรวงรังส่วนตัวในหมู่บ้านสัมมากร พูดคุยกันภายใต้บรรยากาศเย็นชุ่มฉ่ำด้วยสายฝน

“ทุกประเทศล้วนมีขลุ่ยประจำชาติ ผมเคยลองเป่ามาเกือบหมดแล้ว ขลุ่ยไทยเรานี่แหละดีที่สุดในโลก มันเป็นเครื่องดนตรีที่มีสำนวน สำเนียง เสียงที่บ่งบอกความเป็นไทยชัดเจน คุณสมบัติของขลุ่ยที่ดีขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ ทั้งคุณภาพไม้ ความเก่าแก่โบร่ำโบราณ เรื่องเล่าตำนานอภินิหารต่างๆ ก็ทำให้เกิดความขลัง

แต่สำคัญที่สุด ต้องขึ้นอยู่กับคนเป่า เป่าดีคนหันหลังนั่งฟังก็ยังรู้ว่าคนนี้เก่ง เหมือนจอมยุทธ์มีฝีมือซะอย่าง กระบี่อะไรก็ปรับเปลี่ยนให้ดีได้เอง ปรัชญาส่วนตัวคือเสียงที่ดีต้องมาจากหัวใจผู้เล่น จิตใจที่ดีทำให้เกิดความไพเราะ เสนาะหู ถ้าเป็นคนจิตใจกักขฬะเลวทราม เสียงจะออกมาไม่ดี วูบๆ วาบๆ ไม่จับใจคน”

สารพัดขลุ่ยเล็กๆ ยาวๆ ที่วางอยู่เบื้องหน้า หันซ้ายหันขวายังเห็นวางเรียงอยู่บนชั้น แต่ละเลาล้วนรูปทรงสีสันผิดแผกกัน บ้างฝังพลอยฝังทับทิมวิจิตรงดงาม บ้างสีสันสะดุดตา บ้างรมดำลงอักขระแลดูขรึม ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ จำนวนไม่น้อยถูกเก็บมิดชิดในซองผ้าลายไทย ไม่นับรวมที่เจ้าบ้านบอกว่ายังมีอีกเพียบนับพันเลาที่เก็บไว้บนห้องชั้นสอง

โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นการประทับตราลงบนผิวขลุ่ยแทบทุกเลาเป็นรูปนางกินรีร่ายรำ หมายถึงความรักที่มีต่อคุณจุฬาลักษณ์ ศรีกลิ่นดี ภรรยาผู้ล่วงลับ และชฎาฤาษีอันหมายถึงครูบาอาจารย์ ครอบไว้บนตัวอักษร “ธ” ที่หมายถึงตัวอาจารย์ธนิสร์นั่นเอง

“ขลุ่ยทุกเลา ผมยกขึ้นไหว้ทุกครั้งที่หยิบมาเล่น เพราะถือว่ามีครูบาอาจารย์สิงสถิตอยู่ในนั้น ผมดูแลอย่างดี ปัดฝุ่นเช็ดถูชำระความสกปรกด้วยมือสองข้างนี้ (เขาชูกำปั้นสองข้างขึ้น)

เวลาเหงา เศร้า หรือสุขก็หยิบมาเป่า แล้วแต่อารมณ์จะพาไป เป่ากลางวันบ้างกลางคืนบ้าง ไม่ก็เป่าทั้งกลางวันกลางคืน เป่าข้ามวันข้ามคืนก็มี ยิ่งดึกยิ่งสงัด เสียงขลุ่ยจะหวีดหวิวเพราะพริ้งถึงที่สุด เพื่อนบ้านชอบมากกว่าชัง เพราะขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีที่ให้เสียงสงบร่มเย็น สละสลวย ไม่อึกทึกครึกโครม”

“เดี๋ยวนี้ผมหยิบขลุ่ยขึ้นมาเพื่อคิดสร้างงานมากกว่าอื่นใด อย่างเจอคน ผมก็ดูว่าเขาเป็นคนยังไง นิสัยยังไง ก็จะพยายามคิดว่าจะแต่งเพลงอะไรเกี่ยวกับคนๆ นี้ดี บางวันไปดูงานศิลปะ ก็ถามตัวเองว่าจะแปลงสุนทรียะที่เกิดจากความงามของศิลปะออกมาเป็นเสียงดนตรีได้ยังไง บางครั้งนั่งเล่นๆ มองฝนตก เดี๋ยวก็ได้เพลงแล้ว

การเป็นศิลปินที่ดีต้องฝึกฝนตลอด ฝึกจนกว่าจะหมดลมหายใจ ไม่ว่าจะโด่งดัง หรือเก่งแค่ไหน ถ้าเลิกฝึกเลิกซ้อมเมื่อไหร่ก็ถอยหลังแล้ว”

ทุกวันนี้ นอกจากจะสวมหมวกนักดนตรีรุ่นใหญ่ ผู้ผลิตขลุ่ยไทยเทียบเสียงสากลคุณภาพ นักสะสมขลุ่ยตัวยง อาจารย์ธนิสร์ยังทำในสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดคือ เผยแพร่ความรู้วิชาของตัวเอง ด้วยการเปิดสอนเป่าขลุ่ยฟรีให้แก่ประชาชนทุกเพศทุกวัย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ วัดราษฎร์บำรุง หรือวัดบางปลา จ.สมุทรปราการ

“สอนวิธีเป่าขลุ่ยแนวใหม่ที่ผมฝึกฝนสั่งสมมาชั่วชีวิต ฟรี ไม่คิดสตางค์ เพราะผมคิดว่าอาชีพที่ยั่งยืนที่สุดคืออาชีพที่ไม่เอารายได้ สอนเข้าไปเถอะ เราไม่ได้สอนแค่เป่าขลุ่ย แต่เราสอนเรื่องชีวิตด้วย ใครมาเรียนกับผมควรมาด้วยความรัก มาแล้วมีความสุข ใครไม่มีความสุขผมไล่กลับบ้านเลย” เขาหัวเราะ

ถามว่าขลุ่ยเลาใดบ้างที่เรียกได้ว่าเป็นขลุ่ยสำคัญในชีวิตของธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ขลุ่ยที่มีประวัติความเป็นมา มีตำนาน มีความทรงจำที่ไม่มีวันลืมของผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ขลุ่ยไทยคนนี้

เจ้าตัวตอบอย่างถ่อมตนว่ามีเยอะแยะนับร้อยนับพัน แต่โอกาสนี้ขอเลือกมา 5 เลาเท่านั้น

“หนึ่ง ขลุ่ยชองระอา ที่เพิ่งไปเป่าในงานวัดไตรมิตรวิทยาราม เมื่อสัปดาห์ก่อน ชองคือชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเขมร ต้นตำรับวิชาอาคมไสยศาสตร์มนต์ดำ ขลุ่ยนี้ทำจากไม้ศักดิ์สิทธิ์อายุหลายร้อยปีที่เชื่อกันว่าปัดเป่าความชั่วร้ายภูติผีปีศาจ พูดง่ายๆ ใครเล่นของใส่ ของนั้นก็จะกลับเข้าตัวผู้นั้น ถึงเรียกว่าชองระอา

สอง ขลุ่ยพญาโศก ทำจากต้นไม้ยักษ์ใหญ่มหึมาเมืองมอญอายุ 500 ปี เล่ากันว่ามีเทวดาบินมาส่องแสงระยิบระยับรอบต้น ใครได้ขลุ่ยเลานี้ไปต้องขออนุญาต ต้องเป็นคนที่รู้คุณค่า เอาไปเล่นด้วยความรัก ไม่ใช่เอาไปประดับฝาบ้าน

สาม ขลุ่ยทำจากไม้มะขามโปร่งฟ้า ไม้เดียวกับปี่พระอภัยมณี ดังที่ปรากฏไว้ในประวัติ เป็นต้นไม้เนื้อดี เก่าแก่ และล้มเอง ไม่ใช่ถูกโค่น ขลุ่ยเลานี้ได้ไปเล่นถวายในหลวง เมื่อครั้งพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินทุ่งมะขามหย่อง ปีก่อน

สี่ ขลุ่ยหยก ทำจากหยกแท้เนื้อดีของเมืองจีน ราคาแพงมาก เสียงจะเย็นๆ สบายใจ และห้า ขลุ่ยไม้ไผ่ธรรมดาๆ ไม่สวยไม่หรูหรา แต่ขลุ่ยนี้แหละที่บรรเลงเพลงเมด อิน ไทยแลนด์ จนคนรู้จักกันทั่ว เป็นอีกเลาที่คนอยากเห็นกับตากันเหลือเกิน” อาจารย์ธนิสร์ทิ้งท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะ

การสนทนาจบลงแล้ว ฝนหยุดพอดี ก่อนจากกันเจ้าบ้านไม่วายหยิบขลุ่ยขึ้นมาบรรเลงเพลงเดือนเพ็ญไว้ให้ฟังเป็นบุญหู

เสียงจริงจากมือขลุ่ยตัวจริงระดับปรมาจารย์นั้น ช่างเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ

ข่าวล่าสุด

ตราดระอุ ประกาศเคอร์ฟิวทุกพื้นที่ ยกเว้นเกาะช้างและเกาะกูด