posttoday

บาลานซ์ชีวิตในแบบ จักรภพ ฉิมอำพันธ์

23 พฤษภาคม 2556

เรื่องการมองเทคโนโลยีในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของแต่ละคนว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่สำหรับผมแล้วอยากให้เราอยู่เหนือเทคโนโลยี

โดย...โยธิน อยู่จงดี / ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข

“เรื่องการมองเทคโนโลยีในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของแต่ละคนว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่สำหรับผมแล้วอยากให้เราอยู่เหนือเทคโนโลยี ไม่ได้ไปตามเสียทุกอย่าง แต่เราก็ไม่ได้แอนตี้เทคโนโลยีนะ ยังอยากให้พัฒนาต่อไปในทางที่ดี ถ้าทำออกมาแล้วดีกับเราจริงๆ ชีวิตสะดวกสบายขึ้นผมก็ใช้ แต่ถ้านิยมเพราะแบรนด์ ชอบเพราะโลโก้ผมจะไม่ใช้ตรงนี้” จักรภพ ฉิมอำพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผลิตภัณฑ์นมตรานกเหยี่ยวฟอลคอน บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า เล่าถึงมุมมองเทคโนโลยีในฐานะอดีตเอเยนซี่โฆษณาและนักการตลาดมือฉมัง

ชีวิตต้องเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่

จักรภพเกิดและเติบโตที่กรุงเทพฯ มาตั้งแต่เด็กๆ มีลักษณะอย่างหนึ่งที่ติดตัวเขามาตลอด คือชอบสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ และความคิดสร้างสรรค์ นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจเลือกเรียนทางสายโฆษณา มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จากนั้นก็เริ่มทำงานในสายเอเยนซี่โฆษณา ก่อนจะออกมาทำงานด้านการตลาดเพราะอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

“ในทางธุรกิจเรื่องของโฆษณาจะเป็นพีตัวสุดท้ายจาก 4 พี เป็นเพียงมุมหนึ่งใน 4 มุมที่เราอยากจะเรียนรู้มุมอื่นๆ บ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทิ้งเรื่องการโฆษณาไป เพราะการโฆษณาอย่างไรเราก็ต้องใช้ ทุกอย่างเริ่มจากการที่เรารับงานจากลูกค้าที่เราต้องเรียนรู้ตัวสินค้าตั้งแต่แนวคิดการผลิต จนกระทั่งขายเราก็ต้องทำความเข้าใจตลาดผู้บริโภค คู่แข่ง ตั้งแต่นั้นมาเราก็เลยเข้าใจเรื่องการตลาดมากขึ้น ถึงตัดสินใจเข้ามาทำงานตรงนี้โดยตรง” จักรภพ บอกถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือกเดินทางสายการตลาดเพื่อหาความท้าทายและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ซื้อใช้เพราะฟังก์ชั่น

ด้วยความที่เขาเป็นผู้บริหารนักการตลาดและอดีตนักโฆษณา เขาจึงเป็นคนที่ไม่ค่อยตามเทรนด์เทคโนโลยีมากนักถ้าไม่ได้เป็นเทคโนโลยีที่จะเอามาอำนวยความสะดวกมากกว่าการขายแบรนด์ จักรภพ อธิบายว่า เรื่องไอทียอมรับว่าเดี๋ยวนี้ทำให้เราทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น แรกๆ ก็แอนตี้เหมือนกันว่าทำไมเราต้องมีของใช้อะไรที่วุ่นวาย เพราะด้วยความที่เป็นเด็กแนวโฆษณาก็จะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก ไม่ชอบตามเทรนด์ใคร มีแนวของตัวเองในการเลือกของ และเราเองก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากกระบวนการทางการตลาดที่ทำให้คนรู้สึกและเห็นค่าของสินค้านั้นๆ

ถ้าเราลองใช้ดูแล้วไม่เห็นประโยชน์ของฟังก์ชั่นที่จะเอามาอำนวยความสะดวกให้เราจริงๆ ก็จะไม่ใช้ แต่ถ้าเราเริ่มเห็นประโยชน์เพราะฟังก์ชั่น ที่ไม่ใช่การทำแบรนดิ้ง ไม่ใช้เพราะเป็นแอปเปิลเราก็เลยเริ่มให้ความสนใจ แต่ทีนี้แอปเปิลทำได้ทั้งแบรนดิ้งและฟังก์ชั่น ก็ถึงว่าตรงนี้ดีไป เพราะตอนที่เราได้ลองใช้ความคิดก็เปลี่ยน เราไม่ต้องกลับไปนั่งเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานอีกต่อไป อยู่ข้างนอกเปิดดูเราก็ตัดสินใจได้เลยว่าเราจะทำอะไร

ต่อมาก็เริ่มมีไอแพดเข้ามาช่วย ตอนแรกก็คิดว่าจะเข้ามาแทนที่กันได้ แต่เอาเข้าจริงๆ เป็นการใช้งานคนละแบบไปเลย ไอแพดจะช่วยในเรื่องการดูอีเมล อ่านเอกสารที่เป็นทางการได้ดีกว่าเครื่องไอโฟน แต่ถ้าอยู่ในรถอยากอ่านฉาบฉวยเราก็ใช้ไอโฟน มันตอบโจทย์กันคนละแบบ แต่โดยรวมแล้วเทคโนโลยีมันทำให้ทุกอย่างดีขึ้นจริงๆ

แอพเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์

“แต่ที่ผมรู้สึกว่าเทคโนโลยีเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ก็เห็นจะมีแอพพลิเคชั่นนี่ล่ะ อย่างไลฟ์สไตล์ผมจะชอบกิจกรรมเอาต์ดอร์ โดยเฉพาะเรื่องการปั่นจักรยานเมาเทนไบค์ ปีนเขากีฬาเอาต์ดอร์พวกนี้ผมเล่นมานานมากหลายสิบปีแล้ว ผมก็มานั่งขำเหมือนกันว่าทำไมเพิ่งมาฮิตการปั่นจักรยานอะไรเอาตอนนี้

เวลาปั่นจักรยาน ผมปั่นไปกลับ กรุงเทพฯพัทยา บ่อยมาก 140 กิโลเมตร เริ่มเจอเพื่อนที่สวนลุมฯ 7 โมงเช้า ไปถึงพัทยากันประมาณ 4 โมงเย็น ในสมัยที่เรายังมีทั้งแรงและเวลาในการออกกำลังกาย กีฬาพวกนี้ก็ทำให้เราได้ออกไปมองโลกกว้าง ได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในอินเทอร์เน็ต ทำให้เราขยายความคิดสร้างสรรค์ออกไปเรื่อยๆ

นอกจากปั่นแล้วเราก็ยังวิ่งมินิมาราธอน 10 กิโลเมตร มีโยคะร้อนและฟิตเนส และทุกอย่างที่ว่าก็มีแอพในสมาร์ทโฟนเข้าไปอยู่ด้วยหมด ตอนวิ่งก็มีแอพวิ่ง มีแอพสอนท่าโยคะ แอพปั่นจักรยานจับเส้นทางปั่นความเร็ว การใช้พลังงานทุกอย่างมีหมด และช่วยทำให้ผมไม่หลงทางตอนวิ่งกลับได้อีกด้วย” จักรภพ เล่าถึงแอพที่เขาใช้อยู่ตอนทำกิจกรรมพร้อมเปิดเครื่องให้ดูว่ามีแอพที่เกี่ยวกับการออกกำลังกายหลายตัวในเครื่องของเขา

พลันสายตาก็ไปเห็นแอพเด็กๆ ปะปนอยู่ในนั้น เมื่อสอบถามก็ได้ความเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ก็ให้ลูกสาววัย 3 ขวบ ซึ่งกำลังซนอย่างน่ารักเล่นเกมในไอแพด ไอโฟน อยู่บ้าง แต่รวมๆ แล้วเขาจะต้องเล่นกับลูกให้ได้มากกว่าที่จะปล่อยให้ลูกเล่นอยู่กับไอแพดอย่างเดียว

คุณพ่อมือใหม่ บอกอีกว่า ยุคนี้เป็นเสน่ห์ของสังคมปัจจุบันนะที่เรามีเทคโนโลยีใช้ เป็นเหรียญสองด้านที่เราใช้มัน ว่าจะให้ผลดีและผลเสียอะไรต่อสังคมบ้างถ้าเราใช้มันอย่างผิดทาง อย่างเรื่องไอแพดที่พ่อแม่รุ่นใหม่ให้ลูกๆ ได้เล่นกับไอแพดมากกว่า และปล่อยให้เล่นเกม ชมว่าเขาทำได้ดีเมื่อเทียบกับที่เราได้เล่นกับลูกเอง ได้กอดเขา และชมเขาด้วยตัวเราเอง อย่างไหนจะดีกว่ากัน

อนาคตคงไม่อยากให้ลูกอยู่กับเทคโนโลยีมากเกินไป แต่จะสอนให้เขาใช้เป็นและไม่ให้ถูกครอบงำไปตามกระแสโลก หรือใช้เทคโนโลยีให้ฉลาดกว่านั่นเอง

ชีวิตที่ไม่ยึดกับเทคโนโลยี

1.ชอบหนังของจีทีเอชทุกเรื่อง เพราะเป็นค่ายหนังที่มีความใส่ใจในรายละเอียด บทภาพยนตร์ ภาพและการเล่าเรื่องที่ดีมาก

2.ชอบหนังสือของทรงกลด บางยี่ขัน โดยเฉพาะเรื่องที่เขียนถึงการปั่นจักรยานที่ญี่ปุ่น ประทับใจในตอนท้ายที่ว่า “เมื่อเปิดกล่องพัสดุที่ส่งมาจากญี่ปุ่น กลับพบว่าสิ่งที่ติดมาด้วยไม่ใช่จักรยานเพียงอย่างเดียว แต่เป็นประสบการณ์และความทรงจำที่มีค่า”

3.ชอบพาครอบครัวไปเที่ยวที่เสถียรธรรมสถานกับสวนลุมฯ แนวต้นไม้เยอะๆ และมีกิจกรรมให้เด็กๆ ได้ทำในวันหยุดมากมาย

4.ชอบรับประทานอาหารทุกสัญชาติ แต่ที่ชอบที่สุดก็คืออาหารญี่ปุ่น รับประทานง่าย ดีต่อสุขภาพด้วย

5.ชอบเล่นโยคะร้อน เพราะได้เผาผลาญพลังงานใกล้ๆ กับการวิ่งเลยทีเดียว ใครไม่อยากวิ่งให้เหนื่อยมากก็มาเล่นโยคะร้อนกันได้นะ

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2