รั้วแห่งรัก ของหนุ่มยิ้มละลายโลก ‘จิรวัฒน์ เหมันต์สุทธิกุล’
หนุ่มตี๋น่ารักน่าหยิกที่ติดโผท็อปลิสต์สุดตอนนี้ คงไม่พ้น “น้องเอิร์นจิรวัฒน์ เหมันต์สุทธิกุล”
โดย...ณัฐพล ช่วงประยูร / ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข
หนุ่มตี๋น่ารักน่าหยิกที่ติดโผท็อปลิสต์สุดตอนนี้ คงไม่พ้น “น้องเอิร์นจิรวัฒน์ เหมันต์สุทธิกุล”
เด็กหนุ่มใส่แว่น วัย 21 ปี ตั้งอกตั้งใจเรียนด้านปรัชญา ศาสนา อยู่ที่นิวซีแลนด์ วันหนึ่งกลับมาเมืองไทยช่วงปิดภาคเรียน เกิดไปเข้าตาช่างภาพดาวรุ่ง “แอร์รี่หฤหรรษ์ นพวรรณ” ถ่ายแล้วโพสต์ลงแฟนเพจ กระทั่งเกิดกระแสคนรักน้องเอิร์นตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวจริง ในที่สุดก็เป็นแบบให้นิตยสารแอตติจูด ประเทศไทย ในคอลัมน์สเตรจกาย วี เลิฟ กระทั่งขึ้นรับตำแหน่งในงานครบรอบ 2 ปีของนิตยสารฉบับนี้ ในฐานะ “สเตรจ กาย ออฟ เดอะ เยียร์ 2012” ชายแท้ที่ถูกใจคนทั้งเมือง และล่าสุดเขาอยู่บนปกหน้าของนิตยสารแอตติจูด ณ ขณะนี้
ด้วยความสัมพันธ์อันดีต่อบรรณาธิการเล่ม “ต๊ะธวัชชัย ดีพัฒนา” ฉบับนี้ลิฟวิ่งของเราจึงสบโอกาสบุกบ้านหนุ่มตี๋ ค้นทุกซอกมุมเด็กหนุ่มเจ้าของยิ้มละลายโลก แม้เป็นวันที่ร้อนแสนร้อนวันหนึ่ง แต่ทีมงานก็ได้รับการต้อนรับอย่างแสนดีจาก “รุ่งโรจน์ภัสรา เหมันต์สุทธิกุล” คุณพ่อและคุณแม่ของน้องเอิร์น รวมถึงมื้ออาหารอบอุ่นร่วมกันกับคุณยายและทุกๆ คนในบ้าน
ขณะที่เจ้าตัวเอก “เอิร์น” วิ่งวุ่นหาเสื้อผ้าหล่อให้เราถ่ายรูป ทว่าจบลงด้วยชุดกีฬาน่ารัก สะท้อนสไตล์หนุ่มหุ่นดีที่ดูแลรักษาตัวเองได้สม่ำเสมออย่างดี ระหว่างนั้นผมก็พูดคุยกับคุณพ่อและคุณแม่รอเจ้าตัว กระทั่งได้เดินชมบ้านและนั่งลงคุยกับหนุ่มเนิร์ดที่ใครๆ หลงรัก
“ผมกลับมาเมืองไทยแค่ปีละ 2 เดือน ปกติอยู่บ้านว่างๆ ไม่ทำอะไรก็ว่ายน้ำ อ่านหนังสือ ดูทีวี แต่ก็แล้วแต่ช่วง มันเป็นช่วงความสนใจของผมเอง มีอยู่ช่วงหนึ่งผมอ่านแต่รามเกียรติ์ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง หนังสือการ์ตูน บทกลอน จะอ่านมาก บางช่วงก็เทพโรมัน บางช่วงก็เทพอียิปต์ บางช่วงศาสนาพุทธ บางช่วงปรัชญา” ไม่แปลกใจที่จะเห็นหนังสือวางกองอยู่หลายจุดทั่วบ้าน “ผมว่ามันได้ใช้ความคิดดี มันสนุก เวลาได้เล่าให้คนอื่นฟัง แต่กิจกรรมอื่นก็มีกีฬา เล่นบาสกับว่ายน้ำ บางทีว่างๆ ก็ซ้อมแซ็กโซโฟนบ้าง สมัยก่อนเป่าบ่อยๆ
ปัจจุบันผมเรียนมนุษยศาสตร์ เอกปรัชญา โทศาสนา ที่นิวซีแลนด์ ไม่ใช่เจาะจงศาสนาไหนเฉพาะ เป็นแบบทั่วไป แต่เหตุผลที่ผมเรียนตอนปีแรก จบ ม.6 ผมยังไม่รู้จะเรียนอะไร ด้วยความเป็นฝรั่ง เขาจะสอนเสมอว่าเข้ามหาวิทยาลัยให้เรียนอะไรก็ได้ที่อยากเรียน ถ้าสนุกจะเรียนได้ดี ยังไม่ต้องคิดเรื่องงาน ผมก็คิดว่าผมชอบอะไรบ้าง ตั้งแต่เกิดผมชอบคณิตศาสตร์ ผมเรียนคณิตเก่ง แต่ผมไม่ได้อยากอยู่กับมันไปทั้งชีวิต ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเจาะจงคณิตศาสตร์ ผมว่ามันต้องเป็นอัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์ เลยคิดว่าไม่เอา เลยโทรถามพ่อแล้วผมชอบทำธุรกิจ ครอบครัวก็ทำธุรกิจด้วย แต่พ่อบอกว่าอย่าเรียนเลย พ่อจบศาสนา ประวัติศาสตร์จีนมาแล้วทำธุรกิจ คือเรียนอะไรก็ได้ที่ไม่เข้าสาย จบมาค่อยมาเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
ตอนแรกไม่รู้เลยปรัชญาคืออะไร พอไปเรียนเลยรู้สึกว่านี่แหละใช่ เรียนแล้วรู้สึกว่าผมเคยมีความคิดพวกนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่ไม่มีใครสานต่อความคิดเหล่านั้น ผมเลยทิ้งความคิดเหล่านั้นเอาไว้ เป็นวิชาที่ได้ใช้ความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ได้เหมือนวิทยาศาสตร์ ปรัชญาเป็นสิ่งที่ให้ทุกคนได้ตั้งคำถาม มีสิบทางให้เลือก ถ้าไม่ไปก็เสนอทางอื่นมา หรือมีสิบทางคุณก็เลือกเอาสักทาง มันได้ใช้ความคิด สุดท้ายอย่างไรก็ได้เราเป็นคนตัดสินใจ” หนุ่มเอิร์นเล่าอย่างเพลิดเพลิน มีสาระ ลำดับขั้นและเป็นระบบ ผิดจากหนุ่มตี๋ทั่วไปที่เราประเมินไว้
“ตัวตนเราจริงๆ เป็นคนอย่างไร” ผมถามเอิร์น หวังให้เขาประเมินตัวเอง
“(หัวเราะ) ซกมก ผมเป็นคนยังไงก็ได้ กินข้าวผมก็กินได้ทุกอย่าง ยกเว้นของเผ็ด ที่เหลือจะแปลกยังไงกินได้หมด อะไรก็ได้ วางไว้กินได้หมด แล้วก็ขี้เล่น ซีเรียส ติ๊งต๊อง อันนั้นผมว่าเป็นทุกคนนะ แล้วแต่เวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเรียนรู้มาจากการทำงาน ถ้าอยู่จุดนี้ต้องเก็บอารมณ์ แต่ก่อนผมไม่ใช่เป็นคนแบบนี้ ถ้าร้อนก็จะหงุดหงิด ไม่สน ถ้ามีใครทำผิด ผมไม่สน เพื่อนผิดต้องยอมรับผิด แต่ช่วงนี้ต้องเก็บอารมณ์มาถึงจุดนี้มีคนรู้จัก เวลาร้อนก็เงียบๆ ไป
เหตุที่ผมอยู่เมืองไทยนานคราวนี้เพราะว่าตอนนี้ขาหัก ใส่นอตอยู่ 2 ตัว เล่นกีฬาแล้วพลาด แม่เลยบอกให้พักก่อน แล้วค่อยกลับไปเรียนต่อเดือน ก.ค. ปกติ 5 ปีที่ผ่านมาไม่เคยอยู่เมืองไทยหน้าร้อนเลย แต่นี่ร้อนมาก ทั้งชีวิต 5 ปีผมอยู่หน้าหนาว พอไทยเริ่มร้อนไปนิวซีแลนด์หนาวพอดี พอเมืองนิวซีแลนด์ร้อนกลับมาไทยก็หนาว หนาวตลอดอยู่สบายตลอด ตอนนี้เริ่มจะทนไม่ได้ อยู่เมืองไทยผมอยู่บ้านตลอด ไม่ได้อยู่กับป๊ากับแม่เลย ก่อนนี้อยากเที่ยวด้วยความเป็นเด็ก แต่คิดว่าโห ป๊ากับแม่ไม่ได้เจอหน้าลูกสิบเดือน อยู่ให้เขาเห็นหน่อยเหอะ เลยอยู่บ้านตลอดเวลา
ตื่นปุ๊บลงมา ถ้าไปทำงานก็ออกไปด้วยกัน ถ้ายุ่งจริงๆ ก็อยู่บ้าน แต่ก่อนป๊าทำหลายอย่างมาก เปลี่ยนมาหลายบริษัท ตอนนี้ที่สำคัญสุดคือพัฒนาระบบเกี่ยวกับการขนส่งและการคมนาคมครับ”
คุณแม่และคุณพ่อน้องเอิร์น เล่าให้ฟังว่า ตอนที่มารับช่วงต่อเจ้าของบ้านเก่าที่เริ่มสร้างแล้วไม่ได้อยู่ ท่านรู้สึกอบอุ่นและเย็นสบาย ตกลงปลงใจเลือกที่ดินตรงนี้ประมาณไร่กว่าๆ ตกแต่งเพิ่มเติม โดยทำสระว่ายน้ำและเป็นเรือนพักผ่อนสำหรับครอบครัว
“คอนเซปต์เป็นอินเดีย บาหลี ธีมสีไม้ ลายโต๊ะอะไรสีไม้หมด ผมชอบงานไม้ มีเยอะอยู่แล้ว ก็ลงตัว ก่อนนี้สะสมเฟอร์นิเจอร์ไม้ด้วย บ้างมาจากพม่าอายุสองร้อยปี ด้านหน้าห้องรับแขกมีตู้คัมภีร์โบราณในอังกฤษทำโดยชาวพม่า บางอันเป็นงานฝีมือ งานประณีต สีเข้ากับไม้ อันนี้ยกมาทั้งแผ่นเลย ชอบของจีน ไปซื้อในงาน พอลงแล้วเป็นโทนเดียวกันหมด” ทั้งคู่เล่าก่อนที่ลูกชายจะมาต่อให้จบในมุมของเขา
“ตรงที่เรานั่งคุยกันอยู่นี้ ผมเรียกครัวเล็ก เมื่อก่อนเรียกครัวไทย ไม่เหมือนครัวฝรั่งอันนั้นไม่มีผัดไม่มีกลิ่น ปกติกินทุกมื้อที่นี่ โต๊ะใหญ่ป๊าอยากได้โต๊ะสวยๆ เป็นหินอ่อนแผ่นเดียว ด้วยความที่ใหญ่มาก กินตรงนี้ง่ายกว่า ตอนนี้พี่ชายผมก็ไม่อยู่ คุณยายอยู่บ้านแถวห้วยขวาง นานๆ มาเยี่ยม นี่ก็เลยได้อยู่ด้วยกัน แต่มีห้องเยอะมากเพราะเคยอยากให้ทุกคนมาอยู่ที่นี่ ด้านนั้นห้องที่มีของฉลุเยอะๆ ไว้รับแขกช่วงรวมญาติ
ด้านหลังเป็นสระว่ายน้ำ ผมว่ายได้เกือบทุกวัน ตื่นเช้าจะยืดเส้นยืดสายกึ่งเล่นโยคะ เสร็จก็เข้าห้องน้ำ ชั่งน้ำหนัก ว่ายน้ำ ไม่กินอะไรสามสิบนาที แล้วค่อยกินข้าว ตารางการกินผมซีเรียสมาก
ส่วนห้องนั่งเล่น ป๊ากับแม่ดูอะไรผมก็มาดูด้วย ไม่ค่อยได้ออกข้างนอก วันไหนอากาศดีๆ ป๊ากับแม่จะพาไปข้างนอก”
บ้านกว้างขวางและโปร่งสบาย มากไปกว่านั้นยังมีความอบอุ่น ความรักและสันติสุขที่ทุกคนมีให้กันอย่างเข้มข้น สัมผัสได้จากบทสนทนาและอากัปกิริยาของทุกคน ร่วมด้วยช่วยกัน ดูแลและใส่ใจกัน ทำให้บ้านสมบูรณ์พร้อม โดยเฉพาะหนุ่มเอิร์นที่ดูไม่ขาดไม่เกิน แต่มีเหลือเผื่อแผ่ใครทั้งรอยยิ้ม ความคิดและจิตใจ


