ล่องอิรวดี ดูวิถีมัณฑะเลย์
“อิรวดี” คงเป็นชื่อคุ้นหูของคนไทยหลายคน เพราะประวัติศาสตร์ของไทยหลายเรื่อง
“อิรวดี” คงเป็นชื่อคุ้นหูของคนไทยหลายคน เพราะประวัติศาสตร์ของไทยหลายเรื่อง ก็มักจะมีชื่อของแม่น้ำสายนี้ปรากฏอยู่บ่อยครั้ง เมื่อมีการกล่าวถึงประเทศเมียนมาร์ ซึ่งแม่น้ำอิรวดีเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตและสังคมของชาวเมียนมาร์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
แม่น้ำหลักสายนี้ มีจุดกำเนิดจากทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งเกิดจากการไหลมารวมกันของแม่น้ำ 2 สายหลัก คือ แม่น้ำ “มายข่า” (May Kha) และแม่น้ำ “มะลิข่า” (Mali Kha) ที่ไหลมาบรรจบกันที่เมือง “มิตจีนา” (Myitkyina) จนเกิดเป็นแม่น้ำสายใหม่ที่เรียกว่า “อิรวดี” (Irrawaddy) หรือที่ชาวเมียนมาร์จะออกเสียงว่า “เอยันวดี” (Ayeyarwady)
แนวไหลของแม่น้ำที่พาดจากเหนือลงใต้ และผ่านตอนกลางของประเทศ ทำให้อิรวดีคือเส้นทางเชื่อมต่อพื้นที่หลายๆ ส่วนของเมียนมาร์เข้าไว้ด้วยกัน และนั่นทำให้แม่น้ำสายนี้กลายเป็นเส้นทางขนส่งทางน้ำที่สำคัญที่สุดของประเทศเมียนมาร์ อีกทั้งผู้คนตั้งแต่สมัยโบราณก็นิยมตั้งถิ่นฐานทำกินตามพื้นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำ เพื่ออาศัยเป็นแหล่งหาอาหาร ชำระล้าง และเพื่อการเพาะปลูก ดังนั้นการล่องไปตามแม่น้ำอิรวดี นอกจากจะเห็นเส้นทางขนส่งที่สำคัญแล้ว ยังจะได้มีโอกาสเห็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และได้เห็นวัฒนธรรมตลอดสองฝั่งแม่น้ำอีกด้วย
ทีมงานโลก 360 องศา เดินทางมาถึงที่เมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของเมียนมาร์ อันมีแม่น้ำอิรวดีไหลผ่าน ซึ่งการนั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำจะเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของมัณฑะเลย์ เพราะในขณะที่ประเทศเมียนมาร์กำลังพัฒนาโดยมีถนนหนทางคอยทำหน้าที่ส่งต่อความเจริญ แต่เส้นทางน้ำยังคงวิถีดั้งเดิมอยู่มาก อีกทั้งยังมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวหลากหลายที่เคยเกิดขึ้นบนดินแดนแห่งนี้
การล่องเรือท่องเที่ยวตามแม่น้ำอิรวดีนั้น ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้เรือรับส่งผู้โดยสารหลายๆ ลำถูกดัดแปลงให้เป็นเรือบริการนำเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรือที่เปิดโล่งที่เน้นให้นักท่องเที่ยวได้นั่งกินลมชมวิว และรื่นรมย์กับบรรยากาศสองข้างทาง โดยสิ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะได้มีโอกาสพบเห็น คือ ภาพพื้นที่เกษตรกรรมริ่มฝั่งแม่น้ำ และเรือรับจ้างขนาดเล็กที่คอยขนส่งพืชผักและอาหาร ในขณะที่เรือลำใหญ่ๆ ก็มีให้เห็นอยู่บ้าง
เรือนำเที่ยวที่ออกจากฝั่งมัณฑะเลย์ จะพานักท่องเที่ยวมาที่เมือง “มิงกุน” (Min Gun) เป็นจุดแรก ซึ่งเมืองนี้เริ่มมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากความโด่งดังของ “มิงกุน ปะโธ ดอยี” ที่หมายถึง “เจดีย์ที่สร้างไม่เสร็จ” ของพระเจ้าปดุง (หรือ พระเจ้าโบดอพญา) ซึ่งบางคนเรียกเจดีย์แห่งนี้ว่าเป็น อนุสรณ์สถานแห่งความทะเยอทะยานของกษัตริย์เมียนมาร์ ด้วยเหตุที่ท่านเคยต้องการสร้างเจดีย์ให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่แล้วก็ไม่อาจสำเร็จลงได้ เพราะโครงการก่อสร้างดังกล่าวได้กลายเป็นภาระที่หนักหน่วงของประชาชนและประเทศชาติ จนกระทั่งมีคำทำนายว่า หากพระเจ้าปดุงยังจะทรงพยายามสร้างเจดีย์ให้แล้วเสร็จ จะต้องเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับพระองค์และราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ เจดีย์มิงกุนจึงยังคงค้างคาอยู่กระทั่งสิ้นรัชสมัยพระเจ้าปดุง เจดีย์แห่งนี้ก็หยุดดำเนินการอย่างถาวร แม้ว่าจะไม่ได้สำเร็จเป็นเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ตามที แต่มิงกุน ปะโธ ดอยี ก็ได้รับการบันทึกว่าเป็น “กองหินที่สูงที่สุดในโลก”
เรื่องราวของเจดีย์มิงกุน บอกเล่าให้เราทราบว่า กษัตริย์เมียนมาร์ในอดีตนั้น มีความยิ่งใหญ่และทะเยอทะยานเพียงใด แต่อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเรื่องโชคลางและคำทำนาย ก็ยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของคนทุกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็น กษัตริย์ หรือ สามัญชน
ไม่ไกลจากเจดีย์มิงกุนมากนัก จะเป็นที่ตั้งของระฆังใหญ่ที่คนพม่าเขาภูมิใจว่าเคยเป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งสามารถตีได้จริง (ปัจจุบันมีระฆังที่ใหญ่กว่าอยู่ที่ประเทศจีน) แต่สิ่งที่ทำให้เราสนใจนั้น ไม่ใช่เพียงแค่รูปลักษณ์ใหญ่โตของระฆัง แต่เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิธีการสร้างและติดตั้งระฆังยักษ์นี้ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความชาญฉลาดของคนสมัยก่อน และอำนาจของกษัตริย์ที่บันดาลให้ทุกอย่างเป็นไปได้
ระฆังขนาดยักษ์ที่มีน้ำหนักกว่า 90 ตัน สร้างขึ้นเมื่อเกือบ 300 ปีที่แล้ว ซึ่งยังไม่มีเครื่องทุ่นแรงทันสมัย แต่สามารถขนย้ายจากโรงหล่อฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ แล้วยกขึ้นไปแขวนบนแท่นได้ด้วยแรงงานคนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ว่ากันว่าสมัยนั้นต้องใช้เรือถึง 2 ลำ เพื่อบรรทุกระฆังยักษ์นี้มา และต้องขุดคลองเชื่อมต่อไปยังจุดติดตั้งระฆัง จากนั้นค่อยๆ ถมคลองให้ระดับน้ำยกเรือให้สูงขึ้นจนระฆังลอยขึ้นไปบนแขวนบนแท่นได้ แต่หากนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปดูตอนนี้ ก็จะไม่เห็นร่องรอยแล้ว เพราะเขาทำการบูรณะซ่อมแซมแท่นแขวนใหม่ให้แข็งแรงคงทนกว่าเดิม เพราะมีเครื่องทุ่นแรงที่ทันสมัยกว่าเดิม
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของระฆังมิงกุน ก็สะท้อนให้เห็นถึงความพยายาม เอาชนะข้อจำกัดของคนพม่าในสมัยก่อน
นอกจากเจดีย์สร้างไม่เสร็จและระฆังยักษ์แล้ว นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเมืองมิงกุน มักจะแวะเวียนมาชม “ทัชมาฮาล แห่งลุ่มน้ำอิรวดี” ซึ่งเป็นเจดีย์รูปร่างแปลกตา ทาด้วยสีขาวทั้งหมด และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักของกษัตริย์เมียนมาร์ที่มีต่อมเหสีอันเป็นที่รัก
เรื่องราวมีอยู่ว่า พระเจ้าบาจีดอว์ แห่งราชวงศ์อลองพญา (หลานชายของพระเจ้าปดุง) ทรงมีมเหสีอันเป็นที่รัก ชื่อว่า “เจ้าหญิงชินพิวเม” ต่อมาเจ้าหญิงทรงสิ้นพระชนม์จากการคลอดบุตร ยังความโศกเศร้าเสียพระทัยให้กับกษัตริย์บาจีดอว์เป็นอย่างมาก จึงได้มีบัญชาให้สร้างเจดีย์ชินพิวเมขึ้น โดยทุนทรัพย์ในการสร้างนั้น มาจากการที่กษัตริย์บาจีดอว์ทรงขายแหวนมรกตอันล้ำค่าของพระองค์ กลายเป็นที่มาอีกชื่อหนึ่งของเจดีย์แห่งนี้ว่า “เจดีย์เมียะเต็งตาน” ซึ่งแปลว่า “มรกต”
อันที่จริงแล้ว ยังมีอีกหลายสถานที่ในประเทศเมียนมาร์ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวหลากหลาย ทั้งความเชื่อทางศาสนา ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตำนานความรัก และความศรัทธา ซึ่งการเดินทางลัดเลาะไปตามแม่น้ำอิรวดีในครั้งนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์อีกหลายแง่มุมของเมียนมาร์ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ยังน้อยนิดกับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี กับความรุ่งเรืองหลากยุคหลายสมัยของเมียนมาร์
ภาพวิถีชีวิตและสถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม ตลอดสองฟากฝั่งแม่น้ำอิรวดี ยังมีให้ชมกันอีกมากทางรายการสารคดีโทรทัศน์ “โลก 360 องศา” คืนวันเสาร์นี้ ทาง ททบ 5 เวลา 21.30-22.00 น. หรือติดตามดูคลิปวิดีโอย้อนหลังได้ที่ www.plat360.com


