posttoday

ร่วมสืบสานวัฒนธรรมโบราณก่อนเลือนหายไปจากสังคมไทย

30 เมษายน 2556

โดย...อณุศรา ทองอุไร ภาพ ไม่มีเครดิต

โดย...อณุศรา ทองอุไร ภาพ ไม่มีเครดิต

หลายวัฒนธรรมโบราณที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 200 ปี กำลังจะสูญหายไป เพียงเพราะคนรุ่นใหม่ไม่สนใจจะเรียนรู้ กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ ผลิตภัณฑ์เอนชัวร์ บริษัท แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส ได้จัดงาน “ภูมิปัญญาผู้สูงวัย นำไทยสู่อาเซียน ปี 2556” เพื่อร่วมรณรงค์ให้มีการสืบทอดวิถีแห่งวัฒนธรรมของชุมชนเก่าแก่ โดยการตามรอยภูมิปัญญาไทยที่เป็นตำนานหลายร้อยปีให้เกิดการตระหนักถึงความสำคัญ และร่วมมือกันอนุรักษ์ให้คงอยู่ต่อไป

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กทม. เห็นถึงความสำคัญในการดูแลสุขภาพร่างกายของผู้สูงวัยให้แข็งแรง นอกจากจะส่งผลดีต่อตัวเองแล้ว ยังช่วยส่งเสริมและฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของไทย โดยเฉพาะในวิชาชีพที่ถือเป็นภูมิปัญญาในกลุ่มผู้สูงวัย ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ให้สืบสานวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของไทยในคนรุ่นใหม่ให้ได้เรียนรู้กันต่อไปก่อนที่จะสูญหายไป

ชุมชนบ้านบาตร...

บ้านบาตรตั้งขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏแน่ชัด ประมาณกันว่าชุมชนมีอายุยาวนานกว่า 200 ปี ในชุมชนแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านทำบาตรพระ และประกอบอาชีพนี้กันมานานกว่า 100 ปีแล้ว ชุมชนนี้ตั้งอยู่ที่ ถ.บำรุงเมือง รัตนพา วุฒิยา ช่างทำบาตรในชุมชนบ้านบาตร บอกว่าตอนนี้มีผู้ทำบาตรที่ชุมชนบ้านบาตรเหลือประมาณ 10 คนเท่านั้น จากเดิมที่คนทั้งซอยทำบาตรพระกันหมด แต่ตอนนี้คนเรียนสูงกันมากขึ้น ช่างที่ชำนาญเหลือน้อย โอกาสที่จะหาคนมาสืบทอดยากขึ้นทุกวัน เธอได้เข้ามาเรียนรู้ถึงกระบวนการและวิธีการทำบาตรพระที่ถูกต้อง เพื่อการสืบทอดภูมิปัญญาเมื่อ 10 กว่าปีแล้ว รับการฝึกและเรียนรู้จากน้าเขย จนเกิดความรักและชำนาญงาน จึงอยู่ทำงานตรงนี้เรื่อยมา

“บาตรพระที่ถูกต้องตามพระวินัยจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ บาตรที่ทำจากสเตนเลส และบาตรที่ทำจากเหล็ก และมีอยู่ด้วยกัน 5 ทรง คือ ทรงไทยเดิม ทรงตะโก ทรงมะนาว ทรงลูกจัน และทรงหัวเสือ ตำนานที่เล่าขานต่อกันมา มีความน่าสนใจยิ่งคือ ใครที่มาเรียนรู้การทำบาตรพระที่นี่ต้องไปไหว้พ่อปู่ ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดคนแรกที่ทำบาตร ที่บ้านบาตรจะมีพิธีไหว้พ่อปู่ปีละ 1 ครั้ง ช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี โดยคนที่เรียนรู้จากที่นี่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ล้วนกลับมาเพื่อไหว้พ่อปู่กันที่นี่ทุกปี”

ปัจจุบันชุมชนบ้านบาตรเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ผู้สนใจทั่วไป เข้ามาฝึกและเรียนรู้วิธีการทำบาตรพระ เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และให้มีการสืบทอดต่อไปในกลุ่มอนุชนรุ่นหลัง ซึ่งผู้เข้ามาฝึกและเรียนรู้การทำบาตรพระจะได้รับค่าแรง ค่ารถ ภายใต้ข้อแม้ที่ว่า ห้ามออกไปทำที่อื่น ตามความเชื่อในอดีต

แม้บาตรบุของชาวบ้านบาตรจะมีราคาสูงเนื่องจากการทำบาตรต้องอาศัยช่างหลายประเภท แบ่งค่าจ้างแรงงานให้กับช่างฝีมือต่างๆ เช่น ช่างตีขอบ ช่างต่อบาตร ช่างแล่น ช่างลาย ช่างตี และช่างตะไบ จึงมีค่าใช้จ่ายเป็นต้นทุนสูง ช่างบางคนก็ทำได้เองทุกขั้นตอน แต่แบ่งงานกันไปตามความชำนาญเป็นการผ่อนแรง แต่ด้วยคุณสมบัติของบาตรที่ทำด้วยมือของชาวบ้านบาตร เมื่อเทียบกับราคาแล้วถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับบาตรปั๊มที่ทำจากเครื่องจักรกล นอกจากนั้นบาตรยังต้องกับพระวินัยและยังมีความคงทน มีความหลากหลายในรูปทรงที่สืบทอดภูมิปัญญามาแต่โบราณ

ขนมฝรั่งกุฎีจีน...

ขนมฝรั่งกุฎีจีน เป็นขนมโบราณตั้งแต่สมัยอยุธยา ปัจจุบันมีการทำขนมฝรั่งกุฎีจีนอยู่ที่ชุมชนกุฎีจีน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี มีประวัติความเป็นมากว่า 200 ปี เอกลักษณ์ของขนมกุฎีจีนคือเป็นขนมลูกผสมระหว่างจีนกับฝรั่ง ตัวขนมเป็นตำรับของโปรตุเกส ขณะที่หน้าของขนมเป็นจีน ซึ่งประกอบด้วยฟักเชื่อม ชาวจีนเชื่อว่ารับประทานแล้วจะร่มเย็น น้ำตาลทรายกินแล้วจะมั่งคั่งไม่รู้จบเหมือนกับน้ำตาลทรายที่นับเม็ดไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีลูกพลับอบแห้ง และลูกเกด ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีราคาและมีคุณค่าทางอาหาร

แม้ขนมฝรั่งหน้าตากระเดียดมาทางขนมเค้ก แต่ด้วยสูตรพิเศษที่สืบทอดมาแต่โบราณจะใช้เพียงไข่ แป้งสาลี และน้ำตาลทรายแดงเท่านั้น ไม่มีส่วนผสมของเนย นม ยีสต์ ผงฟู และสารกันบูด เมื่อผ่านการอบด้วยอุณหภูมิความร้อนที่พอเหมาะ จะได้ขนมที่ออกมารสชาติกรอบนอกนุ่มในพอดิบพอดี ยากที่จะเลียนแบบ โดยได้ต้นตำรับมาจากชาวโปรตุเกส ที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในชุมชนกุฎีจีนแห่งนี้

วิสินี มณีประสิทธิ์ ผู้สืบทอดรุ่นที่ 5 ของร้านขนมฝรั่งกุฎีจีน (หลานแม่เป้า) เล่าถึงความรู้สึกที่ได้สืบทอดการทำขนมที่ถือเป็นหนึ่งในตำนานของประวัติศาสตร์ไทยว่า รู้สึกภูมิใจที่ได้รับการสืบทอดจากครอบครัว ทำให้วัฒนธรรมและวิถีแห่งชุมชนยังคงอยู่ ไม่สูญหาย ซึ่งในส่วนของเธอนั้นเรียกว่าเกือบจะทำหล่นหายไปแล้ว เพราะระหว่างรุ่นเธอและรุ่นแม่นั้นขาดช่วงไปประมาณ 34 ปี เมื่อคุณแม่มีเหตุต้องเลิกทำเพราะอายุมากแล้ว ขณะที่เธอยังคงสนุกกับการทำงานแบงก์อยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป จึงคิดที่อยากจะกลับมาทำเพื่อสืบทอดวิถีแห่งวัฒนธรรม ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาของไทยให้คงอยู่สืบไป


ศิลปะดุนโลหะ...

การดุนโลหะ หมายถึงการทำให้โลหะต่างๆ เป็นรูปรอยนูนขึ้นมา กรรมวิธีนี้เรียกว่า “ดุนลาย” ส่วนลวดลายที่ทำขึ้นนี้เรียกว่า “ลายดุน” จัดเป็นงานช่างประณีตอีกแขนงหนึ่งของคนไทย ถ.ยมราช อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช งานดุนโลหะของไทยนั้น มีหลักฐานทางศิลปวัตถุยืนยันว่าได้มีมานานแล้ว ดังที่ปรากฏในศิลปะสมัยหริภุญชัย ศิลปวัตถุในสมัยลพบุรี และสมัยสุโขทัย ซึ่งนิยมใช้โลหะหุ้มพระพุทธรูปให้เกิดความสวยงาม

ศิลปะดุนโลหะของอรุณ สุวิไลย เป็นงานศิลปะดุนโลหะ (ทองแดง) เป็นรูปต่างๆ เช่น พระพุทธรูป พระพิฆเนศ แต่ที่โดดเด่นเป็นที่สนใจของผู้คนทั่วไป ได้แก่ รูปองค์เทพต่างๆ ขั้นตอนการดุนโลหะเริ่มจากการนำแผ่นโลหะมาติดลงบนชันเพื่อล็อกแผ่นโลหะไว้ จากนั้นก็นำรูปที่ต้องการดุนมาติดไว้ด้านบนแล้วเริ่มทำการดุนโลหะตามรูปที่ต้องการ โดยอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ของผู้ดุน เป็นความภาคภูมิใจที่นอกจากจะมีรายได้เลี้ยงชีพแล้ว ยังได้ช่วยอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจจะเรียนกันแล้ว

พานแว่นฟ้า ตะลุ่ม เตียบ...

พานแว่นฟ้า เป็นพานชนิดหนึ่ง ทำมาจากไม้เนื้ออ่อน มีรูปทรงแปดเหลี่ยม ย่อมุมไม้สิบสอง ซ้อนกัน 2 ชั้น ส่วนมากใช้ใส่ผ้าไตร ตะลุ่ม เป็นภาชนะมีเชิง สำหรับใส่ของแทนถาดหรือพาน เป็นของใช้ประจำวัดสำหรับพระสงฆ์ มีหลายขนาด มีทั้งทรงกลมและทรงเหลี่ยม ส่วนเตียบ มีรูปร่างคล้ายตะลุ่ม มี 12 เหลี่ยม ฐานคล้ายพานแว่นฟ้า มีฝาครอบ ทรงจอมแห ย่อมุมไม้สิบแปด เป็นเครื่องใช้ของเจ้านายชั้นสูงในราชสำนัก ใช้สำหรับใส่อาหาร

ศิลปะการทำพานแว่นฟ้า ตะลุ่ม เตียบ ประดับมุก เป็นมรดกที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษมากว่า 100 ปี ครูเสน่ห์ แจ่มจิรารักษ์ บอกว่าทำงานถมมุกแบบนี้มาสี่สิบกว่าปีแล้ว และงานถมแบบที่ทำอยู่นี้ได้รับอิทธิพลมาจากงานฝังมุกของจีน แต่ของไทยเป็นการขึ้นรูปด้วยหวาย แล้วใช้มุกมาติดทีละชิ้น ก่อนนำไปลงรัก ชุมชนนี้อยู่ที่ ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี

ขั้นตอนที่ทำยากที่สุดก็คือขั้นตอนการประดับด้วยมุก เพราะต้องทำมุกมาติดทีละชิ้น เป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน ผลงานแต่ละชิ้นใช้เวลาทำนานนับเดือน ผลงานของครูเสน่ห์มีความโดดเด่น มีชีวิตชีวา สง่างาม จึงได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ มากมาย ถึงแม้ว่าจะมีคนรุ่นใหม่ที่สนใจมาเรียนรู้กับครูเสน่ห์จำนวนไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ก็เพียงแค่เรียนรู้ แต่คนที่เอาความรู้ที่ได้ไปใช้ทำจริงๆ แทบไม่มี

บายศรีผ้า...

คนไทยที่มีความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” หรือพลังใจว่ามีอยู่ในทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย ประเพณีรับขวัญ ทำขวัญ เชิญขวัญ สู่ขวัญ จึงมีอยู่ทุกภาคของประเทศ ตามวาระต่างๆ ในชีวิต สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในพิธีทำขวัญ คือ “บายศรี” บาย แปลว่า ข้าว ศรี แปลว่า มิ่งขวัญ สิ่งดีงาม รวมเรียกว่า ข้าวขวัญ ใช้ในการสังเวยเทวดา ไหว้ครู

บายศรีภาคกลางมีหลากชนิดหลายรูปแบบและวิธีการใช้ อาทิ บายศรีตัน บายศรีตั้ง บายศรีสังเวยเทพแบบเศวตฉัตร ฉัตรมงคล หรือพรหมสี่หน้าฯ เป็นต้น ที่ใช้ประจำในครัวเรือนและงานมงคลคือ “บายศรีปากชาม” บายศรีแบบอื่นในพิธีสมโภชหรือบวชนาค ไหว้พ่อแม่ครูอาจารย์ งานมงคลต่างๆ ซึ่งบายศรีปากชามมี 5 นิ้ว แต่ละนิ้วหมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งกอปรกันขึ้นเป็นมนุษย์

เดิมบายศรีมักทำมาจากใบตอง แต่ปัจจุบันได้มีการประยุกต์นำผ้ามาใช้แทนใบตอง นอกจากจะเพื่อความสวยงามแล้ว ยังคงทนกว่าการใช้ใบตองอีกด้วย สุภาพร เจตน์สมบูรณ์ ครูสอนวิชาบายศรีผ้าของ กศน. เขตดอนเมือง บอกว่าการทำบายศรีเป็นวิชาที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เป็นวิชาที่มีครู ต้องบูชาครูถึงจะสามารถทำได้

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์