คีตา วงศ์กิตติพัฒน์ สะสมด้วยใจเครื่องดนตรีแห่งความรัก
สาวน้อยหน้าใส รูปร่างบอบบาง วัย 20 ปลายๆ น้องโฟม-คีตา วงศ์กิตติพัฒน์ ประชาสัมพันธ์สาวสวยบริษัท บัตรกรุงไทย
สาวน้อยหน้าใส รูปร่างบอบบาง วัย 20 ปลายๆ น้องโฟม-คีตา วงศ์กิตติพัฒน์ ประชาสัมพันธ์สาวสวยบริษัท บัตรกรุงไทย
โดย...อณุศรา ทองอุไร
สาวน้อยหน้าใส รูปร่างบอบบาง วัย 20 ปลายๆ น้องโฟม-คีตา วงศ์กิตติพัฒน์ ประชาสัมพันธ์สาวสวยบริษัท บัตรกรุงไทย และเธอยังเป็นนักดนตรี ที่เคยมีผลงานร่วมกับศิลปินของแกรมมี่อยู่หลายชุด และเจ้าของอัลบั้ม “Breeze Up” ทำร่วมกับแกรมมี่ เป็นเพลงบรรเลง สไตล์แจ๊ซ ส่วนอีกอัลบั้มเป็นเพลงร้อง ชื่อซิงเกิล “เสียงอื่นที่เพราะกว่า” ออกมาเมื่อปีที่แล้ว โดยเธอแต่งเพลงเอง ร้องเอง และเรียบเรียงเองทั้งหมด กลายเป็นอัลบั้ม “Difference”
ทุกวันนี้ก็ยังรับเล่นเปียโนตามงานอีเวนต์ต่างๆ อยู่บ้างประปราย เธอเรียนจบด้านดนตรีดุริยางคศิลป์ตะวันตก คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วไปต่อปริญญาโทด้านดนตรีที่ประเทศอังกฤษ เรียกว่าเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เนื่องจากคุณพ่อ (ศุภชัย) ก็เป็นนักดนตรีรุ่นใหญ่ของวงดิเอเวอเรสต์ เล่นที่โรงแรมมณเฑียร เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว
ทั้งชื่อและสิ่งที่ชอบ คือเสียงดนตรี แน่นอนว่าสิ่งที่เธอรักและคิดจะสะสมอย่างจริงจังก็คือ เครื่องดนตรีนั่นเอง เพราะเธอสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชนิด ทั้งกลอง กีตาร์ เปียโน ฮาร์ป กู่เจิง แต่ที่ถนัดที่สุดก็คือเปียโน
นอกจากเครื่องดนตรีที่คนทั่วไปเล่นกัน เวลาที่เดินทางไปต่างประเทศหากไปเจอเครื่องดนตรีท้องถิ่นพื้นเมืองที่แปลกๆ เธอก็จะซื้อมาและหัดเล่นด้วยตนเอง โดยหาความรู้จากอินเทอร์เน็ตบ้าง หรือถ้าหาครูสอนได้ก็จะไปเรียนกับอาจารย์บ้างก็มี ตอนนี้เธอกำลังอยากจะลองเล่นดนตรีของทางอินเดียอยู่ เช่น ซีตาร์ เครื่องดนตรีไม่ว่าของที่ไหนมันมีเสน่ห์เห็นแล้วอยากเรียนรู้ใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ มันเป็นความสุข
เมื่อมีคุณพ่อเป็นนักดนตรีเก่า ตัวเธอเองเป็นนักดนตรีรุ่นใหม่ ของสะสมก็หนีไม่พ้นเครื่องดนตรี โดยเริ่มจากคุณพ่อสะสมมาก่อนคือพวกแผ่นเสียงวงดังจากต่างประเทศ เช่น เดอะบีเทิลส์, เอสวิส, แครอล คิง, พอล แองกา และอีกหลายๆ วง ซึ่งบางวงเธอก็ไม่รู้จัก และเวลาเธอไปต่างประเทศ เจอแผ่นเสียงแปลกๆ เช่นมีอยู่แผ่นหนึ่งเป็นแผ่นใสสีเขียว (ปกติแผ่นเสียงจะสีดำทึบ) เธอก็ซื้อมาฝากคุณพ่อ กีตาร์เก่าหลายตัวก็ตกทอดมาจากคุณพ่อ ตอนนี้มีแผ่นเสียงเก่าๆ ที่คุณภาพยังดีอยู่นับ 100 แผ่น (ซีดีอีกเพลงอีกหลายร้อยแผ่น) และยังคงซื้อต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซื้อตั้งแต่ราคาแผ่นละ 100 กว่าบาท ตอนนี้ขึ้นมาแผ่นละ 1,000 กว่าบาทแล้ว
“ก็ซื้อใหม่เรื่อยๆ นะคะ เพราะต้องใช้งาน ทั้งกีตาร์ไฟฟ้า กีตาร์โปร่ง เปียโนอันเล็กแบบพกพา เวลาไปงานอีเวนต์ก็จะใช้เปียโนตัวเล็ก ส่วนตัวใหญ่เอาไว้ทำเพลงที่บ้าน ซึ่งคุณพ่อทำห้องอัดดีๆ มีเครื่องดนตรีครบไว้ให้เลย เวลาโฟมจะทำเพลง จะได้ไม่ต้องไปที่อื่น กลับค่ำๆ มืดๆ คุณพ่อเป็นห่วง ก็ทำบ้านเราเป็นห้องอัดย่อมๆ ซะเลย” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
น้องโฟม บอกว่า ที่ซื้อเครื่องดนตรีมาเรื่อยๆ นั้น ตอนแรกไม่ได้ซื้อไว้เพื่อจะสะสม แต่จุดประสงค์หลักคือซื้อมาเพื่อใช้งาน แต่การใช้งานจริงๆ แล้วมีแค่ 23 ตัวก็พอแล้วสำหรับกีตาร์ แต่เพราะมันคือความสุขใจ มันคือความรัก เห็นแล้วก็อดไม่ได้ ถ้าเจอถูกใจก็อยากจะซื้อ บางทีเห็นแล้วยังไม่ซื้อพยายามตัดใจ แต่พอกลับมาบ้านใจมันก็คิดถึงวนเวียนอยู่นั่นจนในที่สุดต้องตามไปซื้อกลับมาถึงจะหายกระวนกระวายใจ พอซื้อมาเรื่อยๆ ก็กลายเป็นของสะสมไปโดยปริยาย ที่ใช้ประจำจริงๆ มีอยู่ 34 ตัวเท่านั้น ที่เหลือก็เก็บ หรือไม่ก็แขวนไว้เป็นของแต่งบ้านก็มี
นอกจากเครื่องดนตรี แผ่นเสียง และซีดีแล้ว เธอยังสะสมเครื่องดนตรีจิ๋วอีกด้วย เช่น กีตาร์ เปียโน ถ้าเจอก็จะซื้อทุกครั้ง ใจมันรักเห็นแล้วดึงดูดใจสุดๆ ในส่วนของเครื่องดนตรีชิ้นใหญ่นั้น ตอนนี้เธอมีกีตาร์ไฟฟ้า 2 ตัว กีตาร์. Bass 2 ตัว กีตาร์โปร่ง 7 ตัว กีตาร์คลาสสิก 3 ตัว Ukulele 2 ตัว รวม 16 ตัว มีหลายยี่ห้อ เช่น Fender (Telecaster), Ibanez (ATK), Guitar Man, Aria (Sinsonido), Prudencio, Merida, Gypsy Guitar, Mozzarni, Eko (Acoustic Bass), Orient, Sky Lark (Mini Guitar)
เธอเล่าว่ากีตาร์ส่วนใหญ่ได้ตกทอดมาจากคุณพ่อบ้าง ท่านจะซื้อมาในช่วง 2030 ปีก่อน ราคาประมาณ 14 หมื่นบาท การซื้อจะเน้นที่หน้าตาสวยแบบไม่เหมือนใครมากกว่ายี่ห้อและรุ่นดังๆ และเสียงจะมาเป็นอันดับรอง บางยี่ห้ออาจไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อนเลย
มีกีตาร์หลายตัวที่หิ้วมาเองเวลาไปต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราช่วงนั้น เงินไทยอยู่ที่ 25 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐตอนนี้ราคาก็ขึ้นมาเยอะ แต่เราไม่คิดเรื่องเงิน เพราะคิดว่าซื้อกีตาร์หรือเครื่องดนตรีมาด้วยใจรักมากกว่า “จริงๆ เคยมีคนมาเห็นเข้าแล้วชอบจะขอซื้อต่อก็มีความรู้สึกว่าของของเราที่เลือกซื้อด้วยตัวเอง บางตัวต้องลำบากหิ้วข้ามน้ำข้ามทะเลมา จะมาให้ตีราคาเป็นเงินคงจะทำไม่ได้ มันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราแล้ว ก็จะต้องดูแลเขาตลอดไป เช่น มีกีตาร์คลาสสิก Cutaway อยู่ตัวหนึ่ง ได้มาจากเกาหลีประมาณ 25 ปีที่แล้ว ตอนนั้นซื้อมาราคา 1 หมื่นบาท มาถึงเมืองไทยเอาไปโชว์เพื่อน พอดีมีนักกีตาร์ Jazz ชื่อดังเห็นเข้า ขอซื้อในราคา 2 หมื่นก็ไม่ขายให้ เราไม่ได้ซื้อมาเพื่อขาย ซื้อมาเพราะชอบ”
ส่วนเปียโนรวมทั้ง Keyboard มี Grand Piano ยี่ห้อ Essex และ Upright Piano ยี่ห้อ Knight เป็นเปียโนของอังกฤษ และยังมี Piano ไฟฟ้า, Mini Piano และ Keyboard, Mini Keyboard อีกอย่างละตัว ยี่ห้อ Korg และ Yamaha เพราะเธอเป็น Brand Ambassador ของเปียโนไฟฟ้ายามาฮ่าอยู่ด้วย
ส่วนกลองมีชุดเดียว ยี่ห้อ Arbiter ของ Canada เป็น Flat Drums ที่บางเฉียบทุกชิ้น มองดูเหมือนกลองไฟฟ้า แต่ความจริงเป็นกลอง Acoustics ที่สวยงามและเสียงที่ไม่ดังมากเกินไป เหมาะกับการใช้ซ้อมในบ้านมากๆ


