เส้นแบ่ง
คำง่ายๆ คำนี้น่ากลัวนัก!
คำง่ายๆ คำนี้น่ากลัวนัก!
โดย...วีรณัฐ โรจนประภา [[email protected]]
คำง่ายๆ คำนี้น่ากลัวนัก!
หากย้อนอดีตกลับไปตั้งแต่สมัยเริ่มวิวัฒนาการของมนุษย์จะเห็นได้ว่าเราไม่มีเส้นแบ่งใดๆ เลย เราเกิดมาอยู่ร่วมกันเป็นสายพันธุ์เดียวกัน ยังไม่มีประเทศ ยังไม่มีเชื้อชาติ ยังไม่มีภาษา วัฒนธรรมมาแยกออกเป็นหมู่เหล่า
ไม่ต้องพูดถึงเส้นแบ่งทางความคิด ความเชื่อ ลัทธิ ศาสนา หรือการเมือง
หากจะมีคงมีเพียงเส้นหยาบๆ อย่างเส้นแบ่งมนุษย์ออกจากสัตว์ หรือแบ่งมนุษย์ออกจากต้นไม้
แต่ดูเดี๋ยวนี้ซิครับ เรามีเส้นแบ่งมากมายและที่สำคัญคือไม่ได้มีเพียงแค่มีเพื่อรับรู้ถึงความแตกต่างว่านี่คน นั่นสัตว์ นี่ต้นไม้ แต่เรายังเอาจริงเอาจังกับมันมาก มากจนถึงบางเส้นแบ่งนั้นผลของมันแบ่งชีวิตระหว่างความเป็นกับความตายทีเดียว
เรารบกับผู้ที่อยู่คนละฟากของเส้นแบ่งประเทศ
เรารบกับผู้ที่อยู่คนละฟากของเส้นแบ่งทางการเมือง
และเรารบกับผู้ที่อยู่คนละฟากกับเส้นแบ่งทางความเชื่อของเรา
รบแบบแรก ระหว่างประเทศนี้พอเข้าใจได้ว่าเพื่อปกป้อง ป้องกันดินแดนของเราจากข้าศึกศัตรูเพื่อลูก เพื่อหลาน เพราะในอดีตนั้นการดำรงชีวิตต้องพึ่งพาแหล่งน้ำ แหล่งเพาะปลูก ความสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินจึงหมายถึงชีวิตของเพื่อนร่วมเผ่า ร่วมประเทศ การปกป้อง รบกันเพื่อให้ได้มา หรือเพื่อไม่ให้เสียไปของดินแดน จึงหมายลึกไปถึงเรื่องของการปกป้องชีวิต แม้จะไม่ถูกต้องในการใช้กำลังหักเอาของที่ไม่ใช่ของตนมา แต่ยังพอทำใจได้บ้าง คงคล้ายๆ เวลาเราดูข่าวแม่ขโมยของเพื่อซื้อนมมาให้ลูกกิน
รบแบบที่สอง ทางการเมืองก็พอเข้าใจได้ว่าเพื่ออนาคตที่เชื่อว่าจะดีขึ้นของประเทศ เพราะเมื่อสังคมมีวิวัฒนาการตามกาลเวลาไป เริ่มมีกฎ มีกติกา มีการใช้อำนาจในการปกครองให้คนหมู่มากอยู่รวมกันได้อย่างสงบและไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบกัน การออกมาเรียกร้องหรือดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้ได้มาซึ่งความเสมอภาคทางความเป็นมนุษย์จึงพอเข้าใจ
แต่รบอย่างสุดท้าย คือ ทางความเชื่อนี่น่าคิดนะครับว่าเรารบกันไปเพื่ออะไรกัน มันอาจเหลื่อมๆ กันกับการรบแบบที่ 2 แต่หากสาวให้ลึกไม่แน่ว่าจะใช่อุดมการณ์มุ่งหมายเดียวกัน เพราะมันอาจเอนมาด้านเพื่อตัวเอง หรือเพื่อความเชื่อของตัวเองมากกว่า
ดูให้ดีจะเห็นว่ายุคนี้คนรบเพื่อตัวเองมากกว่าทุกสมัย ทั้งยังมีแนวโน้มจะมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นก็เพราะโลกเทคโนโลยีมันไวกว่าเดิมมาก มันกระจายไปสู่ปัจเจกอย่างทั่วถึง ทำให้แต่ละคนสามารถสร้างอาณาจักรของตนได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ซึ่งเมื่อมีอาณาเขตของตนก็ต้องมีการปกป้องอาณาเขตของตน รบกับผู้ที่จะล้ำแดนตน
เมื่อยุคเปลี่ยนอำนาจก็เปลี่ยน ผลประโยชน์ก็เปลี่ยน จากยุคเงินคืออำนาจ มาสู่ยุคเครือข่ายเป็นอำนาจ
จากรบกันเพื่อแหล่งเพาะปลูก ดินแดน เพื่อเงินมาเป็นรบเพื่อ “สาวก”
เพราะยุคนี้ใครมีสาวกมากหมายถึงมีอำนาจมาก และเมื่ออำนาจอยู่ในมือก็สามารถนำไปใช้แปรเป็นของที่มาสนองความต้องการตนได้
ตัวอย่างง่ายๆ อย่างบรรดาคนดัง ดารา นักร้อง หรือเซเลบที่มีสาวกติดตามทั้งในโลกจริงคือสื่อกระแสหลัก ทั้งในโลกเสมือนคือโปรแกรมอย่างเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม คนกลุ่มนี้หากอยากได้อะไรอาจไม่จำเป็นต้องใช้เงิน ร้านอาหารแทบจะทุกร้านอยากให้คนกลุ่มนี้ไปกินแล้วช่วยโพสต์ร้านเขาในแง่ดีลงสู่เฟซบุ๊ก โรงแรม รีสอร์ตทุกแห่งอยากให้เขาไปเที่ยวและถ่ายรูปสวยๆ ของสถานที่เขาลงอินสตาแกรม อย่าว่าแต่ให้ไปกินฟรี พักฟรีเลย หลายๆ คนได้เงินกลับบ้านเต็มกระเป๋าเสียด้วย
นี่แหละครับ อำนาจสมัยนี้เปลี่ยนมาเป็นสาวก เราเลยรบเพื่อป้องกันสาวก แต่ไม่ใช่ป้องกันชีวิตสาวก เหมือนแม่ทัพป้องกันชีวิตทหารกล้า แต่ป้องกันสาวก “แปรพักตร์” เปลี่ยนใจไม่เป็นสาวกเราต่างหาก
และที่น่ากลัวยิ่งก็คือเส้นแบ่งนี้แทรกซึมไปทุกครัวเรือนจนยากแก่การป้องกัน
เส้นแบ่งดินแดนยังสังเกตได้ แต่เส้นแบ่งความเชื่อนั้นมันมาจากโลกเสมือนที่ยากแก่การจำแนก สุดท้ายแล้วยังมองไม่ออกว่าจะป้องกันความร้าวฉานที่แตกมาจากข้างในนี้ได้อย่างไร คงต้องปล่อยไปตามกรรมร่วมของสังคมที่ต้องเผชิญกันเอง สิ่งที่พอทำได้คือการประคองไม่ให้ความแตกแยกนี้ลุกลามจนเสียหายเกินขอบเขต ไม่เว้นแม้ในบ้านก็เริ่มเห็นเส้นแบ่งการแย่งสาวกนี้กันแล้ว ไม่ได้หมายถึงพ่อกับแม่รบกันเพื่อแย่งชิงลูกนะครับ แต่หมายถึงคนนอกที่มาสร้างเส้นแบ่งให้กับคนในบ้าน ตัวอย่างที่คุณๆ คงนึกกันชัดก็เช่น พ่อหนึ่งสี แม่หนึ่งสี เผลอๆ ลูกอาจจะอีกหลากสี อยู่ชายคาเดียวกัน บ้านเดียวกัน ครอบครัวเดียวกันแต่ถูกแบ่ง (ทางความเชื่อ) เสียแล้ว
ไม่ได้จำกัดอิสรภาพทางความคิด ความเชื่อ แต่ต้องการชี้ให้เห็นปัญหา และช่วยกันแก้ไขครับ แก้จนเส้นแบ่งสักแต่ว่าเป็นเส้นให้รู้ว่ามีความแตกต่าง ไม่ใช่ไม่เห็นเส้นแต่กลับรบรากันทุกหัวระแหง
คิดเล่นๆ ว่าวันใดที่เส้นแบ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางความคิด ความเชื่อ ลัทธิ การเมือง ศาสนา ดินแดน เผ่าพันธุ์ สายพันธุ์ไปจนถึงธรรมชาติหมดสิ้นไปจากใจมนุษย์ เมื่อนั้นโลกคงสงบสุขเสียที
หมดไปคือยังคงมีเส้นแบ่งทางเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา หรือการเมือง แต่เราเห็นมันชัดและรับมันได้
ที่สำคัญคือไม่มีเส้นกั้นระหว่างจิตใจแห่งความเอื้ออาทรของมนุษยชาติครับ!


