posttoday

คิดบวก คือ คิดอย่างไร

19 มีนาคม 2556

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

การคิดบวกอาจอนุโลมเรียกว่าเป็นวิธีคิดอย่างหนึ่งในพุทธธรรมได้เหมือนกัน โดยมีชื่อเรียกว่า “อุปปาทกมนสิการ” แปลว่า “การคิดให้เกิดกุศลธรรม” หรือ “การคิดเพื่อให้เกิดประโยชน์” หลักทั่วไปมีอยู่ว่า ให้เรารู้จักมองหาแง่ดี แง่งาม แง่ที่เป็นประโยชน์ของสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราให้พบ แล้วพยายามใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นให้ได้ ขั้นตอนของการคิดบวกมีอยู่สองขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 1 เป็นการมองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง แล้วพยายามแก้ปัญหาบนพื้นฐานของความเป็นจริงให้ได้อย่างถึงที่สุดก่อน แต่ถ้าหากพยายามทุกวิถีทางแล้วก็ยังไม่อาจแก้ปัญหาอะไรได้เลย จึงมาถึงขั้นตอนที่ 2 คือเริ่มใช้การคิดบวกกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ขั้นตอนที่ 2 คือ เมื่อพยายามแก้ปัญหาตามความเป็นจริงจนสุดความรู้ความสามารถแล้ว แต่กลับพบว่าเหตุปัจจัยที่ขวางอยู่ตรงหน้านั้นใหญ่โตหรือยากเย็นเกินกว่าจะแก้ไขอะไรได้ แทนที่เราจะเป็นฝ่ายยอมจำนน หรือยอมรับสภาพอย่างจนมุม และอยู่กับปัญหาแบบหมดอาลัยตายอยาก เรากลับลุกขึ้นมาปรับวิธีคิดและปรับมุมมองของเราใหม่ เพื่อที่จะเผชิญกับความเป็นจริงในเชิงสร้างสรรค์ พูดง่ายๆ ว่า หาวิธีเผชิญปัญหาเดิมๆ ด้วยวิธีรับมือแบบใหม่ ด้วยมุมมองใหม่ ด้วยท่าทีใหม่นั่นเอง

การคิดในเชิงบวกจึงไม่ได้หมายความว่าเจอปัญหาอะไรก็คิดบวกไปเสียหมด แต่ที่ถูกต้องนั้นต้องทำทั้งสองขั้นตอนนี้ให้ครบถ้วนเสียก่อน ไม่ใช่จู่ๆ เกิดอะไรขึ้นก็คิดบวกหมดโดยไม่ใช้ปัญญาพินิจพิจารณา เช่น เจอน้ำท่วมก็คิดบวกว่าดีแล้ว ได้ฝึกอยู่ร่วมกับน้ำ เจอคำด่าก็ดีแล้ว ได้ฝึกความอดทน อย่างนี้ไม่เรียกว่าคิดบวก แต่อาการอย่างนี้ เรียกว่า “สิ้นคิด” คือยังไม่ยอมใช้ความคิดอะไรเลย การคิดบวกจึงไม่ใช่เรื่องตื้นๆ แต่เป็นวิธีคิดที่ลึกซึ้งวิธีหนึ่งเลยทีเดียว แม้แต่ท่านพุทธทาสก็ยังยอมรับว่าวิธีคิดอย่างนี้มีประโยชน์มาก ดังท่านเคยกล่าวว่า ตอนที่ ท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช “วิวาทะ” กับท่านในเรื่อง “จิตว่าง” จนกลายเป็นข่าวครึกโครม และดูเหมือนกับท่านพุทธทาสกับคุณชายคึกฤทธิ์ไม่ลงรอยกันในเรื่องนี้นั้น ในเวลาต่อมา ท่านพุทธทาส กล่าวว่า “ต้องยอมรับว่าการวิวาทะครั้งนั้นมีประโยชน์มาก เพราะเดิมทีคิดว่าคงต้องใช้เวลานับสิบปีในการแสดงธรรมเรื่องจิตว่างเพื่อให้คนเข้าใจ แต่พอมีคุณชายคึกฤทธิ์มาช่วย (เถียง) ทำให้เรื่องที่จะต้องใช้เวลานับสิบปีเหลือเพียงปีเดียว”

แทนที่จะโกรธ ท่านกลับมองวิวาทะครั้งนั้นว่า เป็นสิ่งที่มีคุณูปการ หรือการที่ท่านถูกคนด่ามากๆ บางคนเขียนหนังสือด่าท่านเป็นเล่มว่าเป็นพระนอกรีตบ้าง เดียรถีย์บ้าง ท่านก็ตอบว่า “อาตมาได้ดีเพราะคนด่า” คือ ยิ่งด่าก็ยิ่งดัง ยิ่งด่าก็ยิ่งมีคนอยากฟังท่านมากขึ้น

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นนักปราชญ์อีกรูปหนึ่งที่ใช้วิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี คือ ท่านสุขภาพไม่ดี ป่วยนับสิบโรค บางโรครักษาหาย บางโรครักษาไม่หาย แต่ท่านไม่เดือดร้อน ท่านเคยให้สัมภาษณ์ว่า

“ความป่วยมีข้อดี คือ ทำให้ได้มีเวลาพัก และระหว่างพักก็ได้มีเวลาเขียนหนังสือ”

ท่านเคยกล่าวเป็นทำนองว่า

“ป่วยแต่ละที ก็ได้หนังสือดีๆ ออกมาทุกครั้ง”

นี่คือการมองโลกในแง่ดีและแง่งามของปราชญ์ทั้งสองท่าน ซึ่งหากวิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่า มีทั้งสองขั้นตอนของการคิดบวกอยู่ด้วย คือ เริ่มด้วยการเผชิญความจริงด้วยปัญญา แล้วจึงหาวิธีปรับเปลี่ยนวิธีรับมือกับปัญหานั้นด้วยสติปัญญาเหมือนกัน

อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นเรื่องของ สตีฟ จ็อบส์ อดีตประธานกรรมการ บริษัท แอปเปิล ซึ่งเพิ่งจะถึงแก่กรรมไปเมื่อไม่นานมานี้ เขาคือผู้นำในการผลิตนวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าโลกแห่งการสื่อสารและบันเทิงไปตลอดกาลอย่างไอพอด ไอแพด ไอโฟน คอมพิวเตอร์แมคบุ๊คแอร์ แมคบุ๊กโปร เป็นต้น เขาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท แอปเปิล มากับมือ แต่กลับถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งขึ้นมา หลังจากหายไปนาน 11 ปี เขาก็ได้รับเชิญให้กลับมาบริหารบริษัทเดิมอีกครั้งหนึ่งจนประสบความสำเร็จ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดอยู่ในโลกเวลานี้ ซ้ำตัวเขาเองก็ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นซีอีโอแห่งศตวรรษด้วย ในวันที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เขาได้สะท้อนวิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดีไว้ตอนหนึ่งว่า

“...ผมเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวที่โด่งดัง ช่วงหนึ่งผมคิดขนาดจะหนีไปจากวงการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มคิดได้อย่างช้าๆ ว่าผมยังรักในสิ่งที่ผมทำอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิลไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้เลย ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยู่ นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่

...ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ปรากฏว่าการถูกไล่ออกจากแอปเปิลกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดกับผม ภาระอันหนักอึ้งจากความสำเร็จ แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาสบาย เมื่อผมกลับกลายเป็นมือใหม่ที่มีความเชื่อมั่นน้อยลง มันทำให้ผมมีอิสรภาพและเข้าสู่ช่วงชีวิตที่ผมมีความสร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่ง”

จากคำกล่าวของสตีฟ จ็อบส์ เราจะเห็นว่าคนที่คิดบวกไม่ใช่คนโง่ ไม่ใช่คนที่จู่ๆ จะมองอะไรบวกไปหมดโดยไม่คิดหน้าไม่คิดหลัง ตรงกันข้าม ก่อนการคิดบวกล้วนต้องผ่านการคิดอย่างรู้เท่าทันความจริงมาแล้วอย่างทะลุปรุโปร่ง และเมื่อเห็นว่าไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่อยู่ตรงหน้าได้ สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือ การเปลี่ยนวิธีคิด ซึ่งเป็นเรื่อง “ข้างใน” ของเราเอง และพลันที่เราเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ เรื่องที่ใครๆ ต่างมองว่าไม่เข้าท่าก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต เหมือนอย่างที่เอดิสันเคยกล่าวไว้ว่า

“ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าตัวเองกำลังล้มเหลว (หลังจากที่ผิดหวังจากการทดลองนับพันครั้ง) แต่ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ากำลังเรียนรู้ทุกๆ ครั้งจากความล้มเหลวต่างหาก”

ถ้าหากเอดิสันมองโลกในแง่ลบ ป่านนี้เรายังคงไม่มีหลอดไฟใช้อย่างทุกวันนี้หรอก

การคิดบวกจึงไม่ใช่วิธีคิดของคนสิ้นคิด แต่เป็นวิธีคิดของคนที่คิดเป็นอย่างแยบคาย ลองไล่ดูรายชื่อของตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนี้ก็แล้วกันว่าแต่ละคนมีสติปัญญาขนาดไหน ส่วนที่เราชอบประณามให้ได้ยินกันบ่อยๆ ว่า คนที่ชอบคิดบวกเป็นคนสิ้นคิดนั้น ที่ถูกควรจะพูดเสียใหม่ว่า คนที่ชอบประณามวิธีคิดบวกว่าเป็นวิธีคิดที่ใช้ไม่ได้นั้น แท้ที่จริงเขากำลังประจานตัวเองที่ไม่รู้จัก “กระบวนการของวิธีคิดบวก” เลยแม้แต่น้อย

อนึ่งในโลกนี้มีวิธีคิดอยู่หลายร้อยหลายพันแบบ จะใช้วิธีคิดแบบไหนต้องเลือกให้เหมาะกับสถานการณ์ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็คิดบวกไปเสียหมด วิธีคิดแต่ละอย่างเหมาะกับบางเรื่องบางสถานการณ์ จึงต้องรู้จักประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย

คิดบวก คือ คิดอย่างไร

 

ข่าวล่าสุด

คนละครึ่งพลัส หนุน “พาสต้า บ่? - มีลาภ อุบลฯ" ยอดขายพุ่ง แชมป์ร้านต่างจังหวัดขายดี