ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน มีวันนี้ได้เพราะชอบดูบอล
คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสำหรับแฟนข่าวทางช่อง 5 ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นพิธีกรอยู่หลายรายการ ผ่านไปผ่านมาบนหน้าจอทีวีอยู่หลายปี
โดย...อณุศรา ทองอุไร ภาพ พงษ์ไทย วัฒนาวณิชย์วุฒิ
คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสำหรับแฟนข่าวทางช่อง 5 ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นพิธีกรอยู่หลายรายการ ผ่านไปผ่านมาบนหน้าจอทีวีอยู่หลายปี จนเริ่มเป็นที่รู้จักกันบ้างแล้ว สำหรับ ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้ชายอารมณ์ดี พูดเร็ว พูดไปยิ้มไป เป็นสไตล์เฉพาะตัวจริงๆ
จั่วหัวอย่างนี้ หลายคนอาจมีเสียวสันหลังว่า บ้าบอลจนได้ดีมีจริงหรือ แต่เขาได้ดี มีวันนี้ได้เพราะความคลั่งไคล้ในกีฬาฟุตบอลอย่างแท้จริง แถมเอามุมมองความคิดในการดูแข่งขันฟุตบอลมาใช้ได้อย่างลงตัวอีกด้วย นี่ถือเป็นตัวอย่างการดูกีฬาอย่างสร้างสรรค์ ทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ อยู่ที่เราจะเลือกของดีหรือไม่ให้กับตัวเอง
เขาย้อนอดีตให้ฟังดังนี้ เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนเรียนอยู่ชั้น ป.2 อายุราวๆ 8 ขวบ ตรงกับปี 1978 เป็นปีที่จัดฟุตบอลโลกพอดี ประเทศอาร์เจนตินาเป็นเจ้าภาพ แล้วตอนนั้นกระแสเชียร์บอลในประเทศไทยกำลังฮอตมากๆ คนไทยเริ่มรู้จักฟุตบอลกันแพร่หลายมากขึ้น เพราะมีโทรทัศน์คอยถ่ายทอด
สำหรับเขาเริ่มรู้จักฟุตบอลก็ตอนนั้น นักเตะคนแรกที่รู้จักจากหนังสือสตาร์ซ้อคเก้อร์ ก็คือ “โรแบร์โต เบตเตกา” นักเตะทีมชาติอิตาลีของทีมชาติยูเวนตุส ส่วนนักเตะคนที่สองที่รู้จัก คือ “มาริโอ เคมเปส” ดาวยิงทีมชาติอาร์เจนตินาชุดแชมป์โลกปี 1978 เจ้าของฉายา “ผมยาว ถุงเท้าสั้น ตะบันประตูเซ็กซี่”
นี่คือนักฟุตบอลระดับโลก 2 คนแรกที่เขารู้จัก
หัดเรียนภาษาอิตาเลียนเพราะชอบบอล...
คนเราถ้ารักถ้าชอบอะไรแบบสุดๆ มักจะมีแรงบันดาลใจให้ลุกมาทำบางสิ่งบางอย่างได้ ตั้งแต่นั้นมาเขาเฝ้าดูติดตามข่าวสารเกี่ยวกับฟุตบอลอย่างใกล้ชิด และค้นพบว่าทีมที่เขาชอบสุดๆ แบบเทใจให้เลยก็คือ ทีมชาติอิตาลี เริ่มสะสม เก็บรูป เก็บโปสเตอร์ อย่างจริงจัง
พอเรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มเรียนภาษาอิตาเลียนด้วยตัวเอง เพราะชอบทีมโรมา ของอิตาลี ถึงขั้นอ่านออก เขียนได้ พูดได้ นี่คือข้อดีของการบ้าฟุตบอลของเขา เพราะมันสร้างแรงบันดาลใจขับเคลื่อนให้เขาสามารถเรียนภาษาด้วยตัวเองได้เป็นอย่างดี
เขาบอกว่า ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็อยากเก็บโน่น สะสมนี่ แต่งบประมาณก็มีจำกัด เก็บได้แต่รูป พวกเสื้อยังไม่ค่อยมีงบซื้อสะสมของ 2 ทีมนี้เป็นหลัก เมื่อเรียนจบเขาก็ไปเป็นนักข่าวกีฬาให้กับหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ แน่นอนว่าเขาก็ทำข่าวบอลอิตาลีตามที่ใจสั่งมา
จนกระทั่งถึงเวลาไปเรียนปริญญาโทและปริญญาเอก ที่ประเทศอังกฤษ เขาก็เริ่มสะสมเสื้อ ของที่ระลึกต่างๆ ของ 2 ทีมนี้ ทั้งฝากเพื่อนนักข่าวซื้อบ้าง สั่งซื้อทางอีเบย์บ้าง โดยซื้อเสื้อเก่าๆ ที่ตกรุ่นบ้างไรบ้างมาสะสมเอาไว้ มีทั้งของถูกของแพง และมาบ้าเอาสุดๆ ก็ตอนปี 1990 เป็นปีที่มีฟุตบอลโลกที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพ สะสมเสื้อไว้ได้ 50 กว่าตัว โดยเริ่มสะสมตั้งแต่ปี 19822013
“สำหรับผมแล้ว ที่มาถึงวันนี้ได้เพราะแรงผลักจากการบ้าบอลจริงๆ หัดเรียนภาษาอิตาเลียนเอง จนใช้สื่อสารได้ดี เพื่อที่จะได้ไปเป็นนักข่าวกีฬา พอได้เป็นนักข่าวกีฬามันก็ต่อยอดมาที่งานอื่นๆ ได้จนถึงตอนนี้”
สะสมจริงใช้จริง
เสื้อที่เขาสะสมไว้นั้น ส่วนใหญ่เอาออกมาใช้จริงเวลาไปออกกำลังกาย วันหยุดก็จะใส่แต่เสื้อบอล หรือไปเดินห้างในช่วงวันหยุด ไม่ได้เก็บไว้ชื่นชมอย่างเดียว แต่ก็ใช้อย่างทะนุถนอม แม้จะใช้เงินเพื่อสะสมไปเยอะ แต่สำหรับเขาแล้วนั้นมันคือความสุขที่สร้างแรงบันดาลใจ
ได้มุมมองมาใช้กับงาน
ฟุตบอลมันมีล้มมีลุก เหมือนกับการทำงาน ที่มีทั้งรุกทั้งรับ มีแพ้มีชนะ เราต้องเรียนรู้และกล้าที่จะยอมรับมัน ไม่มีใครชนะตลอดกาลและแพ้ตลอดกาล ทุกอย่างอยู่ที่จังหวะ เวลา โอกาส และความพร้อม ถ้าคุณพร้อมก็ได้เปรียบมากกว่า
“ผมชอบสไตล์อิตาเลียน มันคล้ายๆ ผม ผมไม่เก่งเรื่องวางแผน แต่ผมมีจินตนาการสูง และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี อิตาลีเป็นทีมที่เดายาก บางทีเล่นไม่ได้เรื่องได้ราวแต่ชนะ เล่นแบบใช้อารมณ์และฟิลลิง คาดหวังยาก เวลาที่ผมจะแพ้ก็จะรวบรวมกำลังใจว่าแพ้ได้ก็ชนะได้ เวลาที่ดูบอลจะวิเคราะห์ตามทำไมเขาเล่นแบบนี้ วางเกมแบบนี้ แล้วถ้าเป็นอย่างนี้เขาแก้ไขยังไงต่อ จำไว้แล้วเอาไว้ใช้กับงาน ผมดูบอลอย่างสร้างสรรค์ ดูแล้วคิดตามทั้งสนุกและได้ประโยชน์ ส่วนเรื่องพนันขันต่อไม่สนใจตัดไปได่เลย” เขากล่าวอย่างตั้งใจ
หลักการทำงาน
ก็เปรียบเสมือนการเล่นบอล ต้องอาศัยทีมเวิร์ก ต้องใส่ใจซ้อมจริงจัง มีแพ้มีชนะได้เสมอ การทำงานก็ต้องมีน้ำใจนักกีฬาต่อเพื่อนร่วมงาน ถ้าอยากชนะก็ต้องลงสนามซ้อมบ่อยๆ งานก็เหมือนกัน ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องมุ่งมั่นตั้งใจ
จบมัธยมปลายที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
จบปริญญาตรีที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เกียรตินิยมอันดับ 1)
จบปริญญาโทและปริญญาเอก จากสหราชอาณาจักร
ด้วยความรักในฟุตบอลตั้งแต่ 8 ขวบ ทำให้เริ่มเรียนภาษาอิตาเลียนด้วยตนเอง
เพราะชอบบอลเป็นชีวิตจิตใจ จึงเริ่มงานแรกเป็นผู้สื่อข่าวฟุตบอลยุโรปของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์อยู่ 5 ปี
ประสบการณ์ทำงานกับบริษัทรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู 7 ปี
ก่อนที่จะผันตัวกลับมาเป็นสื่อมวลชนดำเนินรายการข่าว 5 หน้า 1 ทาง ททบ.5
เริ่มศึกษาธรรมะอย่างจริงจังเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา จนค้นพบความสุขใจได้อย่างแท้จริง
ล่าสุดเป็นนักประชาสัมพันธ์และนักการตลาดอีกด้วย


