posttoday

การประชุมนานาชาติณ เมืองพาราณสี อินเดียกรณีธรรมวินัยกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ (ตอน ๑๐)

06 มีนาคม 2556

จึงทรงบัญญัติว่า “หากถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ มูลค่า ๕ มาสก (หนึ่งบาท) ขึ้นไป เป็นปาราชิก”

โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส

จึงทรงบัญญัติว่า “หากถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ มูลค่า ๕ มาสก (หนึ่งบาท) ขึ้นไป เป็นปาราชิก”

ต่อมา ทรงมีอนุบัญญัติขึ้น เพราะมีพระสงฆ์บางคณะเริ่มมีความคิดเฉโก เลี่ยงบาลี ทราบว่า ทรงบัญญัติเฉพาะทรัพย์ในเขตบ้าน มิได้ทรงบัญญัติในเขตป่า จึงไปลักห่อผ้าของช่างย้อมผ้าที่ลานตากผ้าของช่างย้อมผ้า แล้วนำมาแบ่งปันกัน โดยทรงบัญญัติเพิ่มเติมว่า...

“ถือเอาทรัพย์เจ้าของมิได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี... เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้”

จากสิกขาบทดังกล่าว จะเห็นข้อปฏิบัติที่มีธรรมเป็นธงชัย แต่ไม่ได้ขัดแย้งกับกฎหมาย จารีตประเพณีที่เป็นไปตามครรลองแห่งธรรม จึงสานสัมพันธ์กันไปเพื่อมุ่งสู่ประโยชน์โดยธรรม เพื่อการสร้างค่าความสำนึกที่ถูกต้องเป็นสำคัญของผู้ถือปฏิบัติตามสิกขาบท ดังที่เห็นการมุ่งเทียบเคียงกับกฎหมายทางโลก เพื่อให้กฎวินัย (กฎศาสนา) เป็นไปอย่างไม่แตกต่างกันในเบื้องต้น ดังที่กล่าวมา ที่สำคัญ การให้มองถึงเจตนาเป็นหลักแห่งการพิจารณาเพื่อกำหนดโทษหนักเบา หรือการไม่มีโทษ (อนาบัติ) แม้ปรากฏความผิด แต่ขาดองค์ประกอบภายใน ได้แก่ เจตนา อันเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงกรรม เป็นหัวใจสำคัญของการพิจารณาอันเป็นไปตามสิกขาบทในพระพุทธศาสนา...

แม้ในสิกขาบท (๓) หรือ (๔) ในหมวดปาราชิก ได้แก่

“...การพรากกายมนุษย์จากชีวิต โดยการทำเอง ฆ่าเอง หรือให้ผู้อื่นทำ สั่งผู้อื่นฆ่า ถ้าสมเจตนา ก็ต้องปาราชิก”

อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2