จิ๊กซอว์ที่หายไป
ใครก็รู้ว่าหินบนภูเขาพนมกุเลนหรือพนมลิ้นจี่ป่าก็คือ หินที่นำมาสร้างนครวัด นครธม และปราสาททั้งหลายในแถบนั้น
ใครก็รู้ว่าหินบนภูเขาพนมกุเลนหรือพนมลิ้นจี่ป่าก็คือ หินที่นำมาสร้างนครวัด นครธม และปราสาททั้งหลายในแถบนั้น
โดย...จำลอง บุญสอง
ชมรมผู้สื่อข่าวท่องเที่ยวอาเซียน
ใครก็รู้ว่าหินบนภูเขาพนมกุเลนหรือพนมลิ้นจี่ป่าก็คือ หินที่นำมาสร้างนครวัด นครธม และปราสาททั้งหลายในแถบนั้น แต่จากการตระเวนดูโครงสร้างทางธรณีวิทยาของพนมลิ้นจี่คร่าวๆ ก็พบว่าพื้นที่ 400 ตารางกิโลเมตร ของพนมกุเลนส่วนใหญ่เป็น “หินทราย” แบบเดียวกับหินที่ราบสูงอีสานของไทย แต่หินแกะที่ใช้ตามปราสาทหลายแห่งเป็นหินที่แกร่งกว่าหินทรายมาก จึงเป็นหน้าที่ของนักธรณีวิทยาไปสืบค้นกันเอาว่าหินแกร่งอื่นๆ เอามาจากไหน
พนมกุเลนมีชื่อเสียงก็ตรงที่มีการแกะสลัก ศิวลึงค์และโยนีนับพันๆ องค์ในน้ำต้นกำเนิดของแม่น้ำเสียมราฐ โดยองค์ชัยวรมันที่ 2 ที่เสด็จกลับมาประกาศเอกราชไม่ขึ้นต่อชวา (เจนละน้ำตกเป็นเมืองขึ้นชวาเมื่อรัชกาลก่อน) พระองค์ได้นำเอาลัทธิไศเลนทร์หรือลัทธิเทวะราชากลับมาจากชวาด้วย ลัทธิไศเลนทร์ก็คือลัทธิที่หลอกให้ประชาชนเชื่อว่ากษัตริย์คืออวตารของเทพจากสรวงสวรรค์ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อให้ประชาชนในปกครองยอมรับในความต่างของชนชั้นของผู้ปกครองนั่นเอง (ลัทธินี้ค่อยคลี่คลายลงไปหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมและเกิดลัทธิประชาธิปไตย ที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ไม่ใช่คนคนเดียวแบบเดิม)
ชัยวรมันที่ 2 ทรงมีเมืองหลวงหลายๆ เมืองหลวง ในจำนวนนั้นก็คือมเหรทรบรรพต (ภูเขาพระศิวะ) ที่อยู่บนเทือกเขาพนมกุเลนนั่นเอง
และด้วยลัทธิไศวนิกายที่พระองค์ทรงนับถือ จึงทำให้รับสั่งให้สร้างศิวลึงค์ โยนี จำนวนมากมายขึ้นตามลำน้ำบนเขา เพื่อทำให้น้ำที่ไหลบนเขากลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของราษฎร (และเพื่อสร้างความ Royalty ด้วยในขณะเดียวกัน) แบบเดียวกับพราหมณ์เป็นผู้รดน้ำบนศิวลึงค์ ผ่านโยนีมาให้ประชาชนมาดื่มกินและเอาไปบูชาตามเทวลัยต่างๆ นั่นเอง ต่างที่ว่าชัยวรมันที่ 2 ทำทั้งภูเขาหรือทำภูเขาให้เป็นเทวลัยนั่นเอง
ยิ่งใหญ่หรือไม่ยิ่งใหญ่ อินเดียอายก็แล้วกัน
แต่ที่ผมอยากจะนำเสนอสินค้าการท่องเที่ยวให้ต่างไปจากสิ่งที่นักเขียนทั่วไปนำเสนอก็คือ การเข้าไปดูภาพแกะสลักรูปช้าง รูปสิงโต รูปเสือ และรูปวัว ซึ่งเป็นพาหนะของพระศิวะในป่าลึกด้วย เส้นทางนี้ต้องใช้เวลาไปกลับถึง 2 ชั่วโมง ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ไปในทางแคบๆ ในป่าทีเดียว ตอนแรกที่บรรดามอเตอร์ไซค์มารุมให้ผมและคณะไปเยือนหลายคนก็ไม่แน่ใจว่าจะถูกหลอกหรือไม่ หลายคนปฏิเสธที่จะเสียเงิน 15 เหรียญสหรัฐ แต่ผมชอบเสี่ยงจึงตกลงไปกับเขา ท้ายที่สุดมอเตอร์ไซค์ก็นำผมผ่านป่าลักษณะเดียวกับภูกระดึงหรืออีสานของไทยไปถึงยังจุดหมายที่มีการแกะสลักสิ่งที่ว่าในป่าลึก ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าสระดมเรยหรือสระช้างนั่นเอง
ผมไม่แน่ใจว่าหินแกะที่สลักค้างให้ผมเห็นตำตาอยู่นี้แกะเอาไว้ยุคใดสมัยใด เพราะปราสาทในแถบนี้สร้างขึ้นหลายยุคหลายสมัยและหลายรัชกาลเหลือเกิน
สัตว์แกะสลักล้วนเป็นหินทรายที่อยู่บนหน้าผาไม่ใหญ่นัก ข้างหน้ามีสระน้ำขนาดย่อมอยู่ด้วย (สระน้ำนั่นแหละที่เป็นแหล่งน้ำกินระหว่างการแกะสลัก) ต้นไม้และพรรณไม้ที่ล้อมรอบอยู่และระหว่างทางที่ไปมีสภาพแบบเดียวกับพรรณไม้ภาคอีสานของไทยแท้ๆ ต้นไม้ใหญ่ๆ แบบที่เห็นถ้าอยู่ใกล้ชายแดนไทยคงหมดไปแล้วจากการตัดขายให้ไทยล็อตใหญ่ในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงก่อนสงครามเขมร 3 ฝ่ายจะยุติ
ไปที่นั่นอย่าลืมไปดูพระใหญ่ ลำธารที่มีรูปปั้นศิวลึงค์ พระศิวะ และอาบน้ำน้ำตกที่ไหลงมาจากศิวลึงค์ทั้งหลายตามคติพราหมณ์ ที่นั่นมีบริการรับถ่ายรูปด้วย จะแต่งตัวเป็นชาวเผ่าโบราณเขาก็มีชุดให้นะครับ รับรองมีที่เขมรที่เดียว ส่วนที่ไทยจะเลียนแบบก็ได้
หากท่านผู้อ่านจะไปที่สระดมเรยต้องมีเวลาพอสมควร ด้วยการนั่งรถไปที่พนมลิ้นจี่แห่งนี้ แล้วจ้างมอเตอร์ไซค์เข้าไป ไป-กลับนานประมาณ 2 ชั่วโมงบนทางที่ยากลำบาก
และอยากจะบอกว่า พนมกุเลนยังมีที่น่าค้นหาอีกมาก ไม่เว้นแต่พืชพันธุ์ไม้


