กิเลสาธิปไตย : เมืองไทยในเงื้อมมือกิเลส
เรื่อง ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
ความวุ่นวายในเมืองไทยของเรานั้น สามารถอธิบาย (อย่างหยาบๆ) ได้จากหลายแง่มุม เช่น ถ้าอธิบายในทางการเมือง ก็อาจจะบอกว่า มาจากนักการเมืองหลงลืมแก่นแท้ของประชาธิปไตย โดยต่างหันมาใช้
“ธนาธิปไตย” โดยมีเครื่องมือคือการ “คอร์รัปชัน” เป็นกลไกสำคัญ จนเป็นเหตุให้เกิดรัฐประหารและนำความวุ่นวายบรรดามีทั้งหมดมาสู่สังคมไทยไม่จบสิ้นถ้าอธิบายในทางเศรษฐศาสตร์ก็บอกว่า เป็นเพราะช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนห่างกันมากเกินไป จึงเป็นเหตุให้อดีตนายกรัฐมนตรีพยายามถมช่องว่างตรงนั้น ผลก็คือ คนจนชนชั้นรากหญ้าจึงมีโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรมากกว่าทุกรัฐบาล และนั่นทำให้เกิดภาวะทักษิณนิยม หรืออธิบายในทางสังคมก็อาจบอกว่า เป็นเพราะการจัดสรรอำนาจทางสังคมยังไม่ลงตัว กลุ่มอำนาจเก่า กลุ่มอำนาจใหม่ เกิดการแบ่งผลประโยชน์กันไม่ลงตัว ส่งผลให้มีการจัดสรรดุลอำนาจกันใหม่โดยใช้การรัฐประหารเป็นคำตอบสุดท้าย มี
“ตุลาการภิวัฒน์” เป็นตัวช่วยเพื่อก่อให้เกิดความชอบธรรมแต่ถ้าอธิบายในทางพุทธศาสน์ก็อาจบอกว่า เป็นเพราะคนไทยถูก
“กิเลสครอบงำ” หรือตกอยู่ในกระแส “กิเลสเป็นใหญ่” (กิเลสาธิปไตย) ค่านิยมของสังคม ตลอดจนทิศทางทางการเมือง การพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา จึงมุ่งไปสนองกิเลสกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากิเลสชนิดใดบ้างที่ครอบงำสังคมไทย ถ้าพิจารณาผ่านประมวลกิเลสหลายชุด จะพบว่า กิเลสชุด
“อุปกิเลส 16” น่าจะเป็นภาพสะท้อนสังคมไทยที่ชัดเจนที่สุด เพราะเราจะพบว่ากิเลสทั้ง 16 รายการ แสดงตัวตนผ่านปรากฏการณ์ต่างๆ ในสังคมไทยอย่างชัดเจนกิเลส 16 รายการที่พบเห็นได้อย่างโดดเด่นในสังคมไทยยามนี้ ประกอบด้วย
1.อภิชฌาวิสมโลภะ (คิดเพ่งเล็งอยากได้ โลภไม่สมควร, โลภกล้า จ้องจะเอา ไม่เลือกควรไม่ควร)
2.พยาบาท (คิดร้ายเขา)
3.โกธะ (ความโกรธ)
4.อุปนาหะ (ความผูกโกรธ)
5.มักขะ (ความลบหลู่คุณท่าน, ความหลู่ความดีของผู้อื่น, การลบล้างปิดซ่อนคุณความดีของผู้อื่น)
6.ปลาสะ (ความตีเสมอ, ยกตนเทียมท่าน, เอาตัวตั้งขวางไว้ ไม่ยอมให้ใครดีกว่าตน)
7.อิสสา (ความริษยา)
8.มัจฉริยะ (ความตระหนี่)
9.มายา (มารยา)
10.สาเถยยะ (ความโอ้อวดหลอกเขา, หลอกด้วยคำโอ้อวด)
11.ถัมภะ (ความหัวดื้อ, กระด้าง)
12.สารัมภะ (ความแข่งดี, ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะกัน)
13.มานะ (ความถือตัว, ทะนงตน)
14.อติมานะ (ความถือตัวว่ายิ่งกว่าเขา, ดูหมิ่นเขา)
15.มทะ (ความเมามัว)
16.ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเล่อ)
แทบไม่น่าเชื่อว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เมื่อนานมาแล้ว จะยังคงเป็นความจริงเสียยิ่งกว่าจริงแม้ในวันนี้ ลองพิจารณากิเลสแต่ละข้อดูก็จะพบว่าตรงกับสภาพสังคมไทยในยามนี้ไปเสียแทบทุกข้อ โดยเฉพาะข้อที่ 1 นั้น ชัดเจนเป็นที่สุด
ทำไมเมื่อตรัสถึงประมวลกิเลสที่เป็นเหตุแห่งความมัวหมอง จึงทรงเริ่มด้วยความโลภ สำหรับคนไทยวันนี้ คงเห็นกันแล้วว่า
“ความโลภ” มีพิษภัยร้ายแรงเพียงใด ในคัมภีร์บางเล่ม มีพุทธศาสนสุภาษิตตรัสว่า“
โลโภ ธัมมานัง ปริปันโถ”“
ความโลภ เป็นอันตรายต่อความดีงาม”คิดว่าพุทธศาสนสุภาษิตบทนี้ คงไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่าง เนื่องจากเราคนไทยคงรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีแล้วว่า ถ้าความโลภเข้าครอบงำคนเมื่อไรแล้ว จะส่งผลกระทบต่อความดีงามของประเทศชาติบ้านเมืองเพียงไร
ค่านิยมสังคมวิปริต (โกงก็ได้ แต่ขอให้แบ่งกัน)
คอร์รัปชันเต็มบ้านเต็มเมือง
คนเลวครองอำนาจรัฐอยู่ทั่วไปในแทบทุกองค์กร, คนดีเหนื่อยหรือไม่ก็ตายเปล่า
กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์
รวยกระจุก แต่จนกระจาย
เห็นแก่ตัว บูชาเงินเป็นศาสดา
ระบบจริยธรรมของสังคมพังทลาย
แตกสามัคคี
บ้านเมืองเข้าสู่กลียุค
นี่เป็นเพียงตัวอย่างอันน้อยนิดที่ชี้ให้เห็นว่า
“ความโลภเป็นอันตรายต่อความดีงาม” จริงอย่างที่ตรัสไว้ ทางออกของเราในอนาคต ไม่ใช่เพียงแต่ช่วยกันหยุดสงครามเฉพาะหน้าระหว่างคนไทยเท่านั้น แต่ควรหมายรวมถึงการยกเครื่องประเทศไทยเสียใหม่ ให้พ้นไปจากสภาพ “กิเลสาธิปไตย” ให้มากที่สุด มิเช่นนั้นแล้ว ถึงแก้รัฐธรรมนูญ แต่ถ้าไม่แก้ระบบความคิดความเชื่อของสังคมเสียใหม่ ถึงแก้รัฐธรรมนูญได้ แต่วิกฤตเดิม ก็คงจะกลับมาอยู่ดี เพราะรากเหง้าของวิกฤตอยู่ที่คน “คุณภาพคนสำคัญที่สุด” ไม่ใช่อยู่ที่กฎหมาย แก้เรื่องคนได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเมืองไทยก็พอมีหวังว่าจะก้าวออกมาจากเขาวงกตแห่งวิกฤตอย่างยั่งยืน

