โปรดระวังความเหงาล้อมคุณไว้หมดแล้ว!?
ของเล่นตัวกลมๆ ฟูๆ พูดได้ เต้นรำได้ซึ่งนิยมซื้อหามาเล่นกันในเวลานี้อย่างเฟอร์บี้ หากมองกันอย่างผิวเผินก็คงจะไม่ใช่อะไรนอกเสียจาก
ของเล่นตัวกลมๆ ฟูๆ พูดได้ เต้นรำได้ซึ่งนิยมซื้อหามาเล่นกันในเวลานี้อย่างเฟอร์บี้ หากมองกันอย่างผิวเผินก็คงจะไม่ใช่อะไรนอกเสียจาก
โดย...กองบรรณาธิการ
ของเล่นตัวกลมๆ ฟูๆ พูดได้ เต้นรำได้ซึ่งนิยมซื้อหามาเล่นกันในเวลานี้อย่างเฟอร์บี้ หากมองกันอย่างผิวเผินก็คงจะไม่ใช่อะไรนอกเสียจาก “กระแส” ที่ฮิตกันสักพักแล้วก็คงจะจางหายไปเหมือนตุ๊กตาไบลธ์ ทามาก็อตจิ ฯลฯ แต่ในอีกมุมหนึ่งนักจิตวิทยาฟันธงว่า คนที่ใช้เวลากับเฟอร์บี้ (หรือตุ๊กตาอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ) มากเกินไปจะกลายเป็น “คนเหงา” ไม่ต่างกับคนที่ใช้ชีวิตผูกติดอยู่กับโลกเสมือนอย่างสังคมออนไลน์ รวมไปถึงคนที่ให้เวลากับสมาร์ตโฟนมากกว่าสิ่งรอบข้าง จนกลายเป็นที่มาของ “สังคมก้มหน้า” ในปัจจุบัน
บางคนอาจจะคิดว่า เพราะเหงาจึงเล่นเฟอร์บี้ เลยก้มหน้ามองโทรศัพท์ในมือ จึงมีโลกออนไลน์เป็นเพื่อน แต่ในอีกมุมหนึ่ง เพราะอยู่กับเฟอร์บี้มากไป หรือก้มมองโทรศัพท์มากเกิน หรือนิยมชอบแชตกับคนไกลแทนที่จะหันมามองคนข้างๆ นั่นหมายความว่า เรากำลังโดดเดี่ยวตัวเองจากสังคม
อยู่ตามลำพัง ต่างคนต่างเหงา
“เราคาดหวังจากเทคโนโลยีมากขึ้น แต่คาดหวังจากกันและกันน้อยลง”
“เชอร์รี เทอร์เกิล” โปรเฟสเซอร์แห่งสถาบันเอ็มไอทีชาวอเมริกันบอกไว้เช่นนั้น ในหนังสือ Alone Together
“โลกเสมือนกำลังบิดเบือนความรู้สึกของเรา การติดต่อสื่อสารโดยไม่ได้เจอตัวกันทำให้รู้สึกเหมือนว่า เราได้พบเจอสัมผัสกับคนอื่น ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ใช่ เราคิดว่ากำลังอยู่ด้วยกัน แต่มองอีกทีจะพบแต่ความว่างเปล่า...”
จากการทำวิจัยนาน 15 ปี โดยผู้เขียนสัมภาษณ์คนหลากวัยหลายร้อยชีวิต แล้วจึงนำมาเขียนเป็นหนังสือเล่มโต เชอร์รี เทอร์เกิล พบว่า การใช้ชีวิตผูกติดอยู่กับเทคโนโลยี นับตั้งแต่เด็กกับตุ๊กตาใส่แบตเตอรี่อย่างเฟอร์บี้ไปจนถึงวัยรุ่นกับสมาร์ตโฟน หรือผู้ใหญ่กับคอมพิวเตอร์และโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทั้งหมดก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงระหว่างผู้คน ทำให้มีความเข้าใจไม่แน่ชัดระหว่างบุคคลหรือสังคม และสร้างพฤติกรรมการพอใจที่จะอยู่ลำพัง นานๆ เข้าก็กลายเป็นความเหงาและโดดเดี่ยวจนยากที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ กระทั่งกลายมาเป็นสังคมแบบ “อยู่กันตามลำพัง” หรือต่างคนต่างเหงา
จากสังคมสหรัฐสะท้อนให้เห็นอนาคตของสังคมไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ท่ามกลางผู้คนมากมายและความวุ่นวายของมหานคร ผู้คนรู้สึกเหงาและเดียวดาย ต่างก้มหน้าอยู่กับมือถือ บ้านทาวน์เฮาส์หลังติดกันไม่เคยพูดคุยทักทาย หนุ่มสาวเลือกเลี้ยงเฟอร์บี้มากกว่าหมาหรือแมว สื่อสารกับคนผ่านเฟซบุ๊ก ผ่านบีบี แต่ไม่คิดจะคุยกับคนตรงหน้า เพราะเราเหงาจึงหลีกหนีจากสังคมหรือเพราะหลีกหนีผู้คนเราจึงเหงา ต่างเป็นได้ทั้งสองด้าน
นี่สินะอาการของความเหงา
“ความเหงา คือ การที่คนเราไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับคนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บางคนเหงาเพราะไม่มีใครรอบกาย แต่ที่น่าตกใจในปัจจุบันโดยเฉพาะในสังคมเมือง คือ แม้จะมีผู้คนมากมายอยู่รอบกายแต่หลายคนกลับรู้สึกเหงา”
“พญ.ปราณี เมืองน้อย” แห่งสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ให้จำกัดความคำว่า เหงา
“ผู้คนในปัจจุบันติดต่อหรือพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนบ้านน้อยลงมาก บางครั้งงานที่รัดตัวยิ่งทำให้ระยะห่างกับสมาชิกครอบครัวหรือเพื่อนๆ กว้างขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวเราก็อาจห่างเหินกัน จนยากที่จะเรียกหาใครมาใกล้ชิดสนิทสนมได้อีก”
อาการเหงามีหลายรูปแบบ เช่น รู้สึกหมดหวัง เศร้า สิ้นหวัง ว่างเปล่า เปล่าเปลี่ยว ขาดคนอยู่เคียงข้าง รู้สึกถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับความสนใจ ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพเชื่อมโยงกับใครได้ ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพและทางอารมณ์
“คนเหงามักโทษคนอื่นว่าไม่แบ่งที่ว่างให้เขา ความจริงแล้วคนมักเหงาเพราะไม่เชื่อมโยงกับตัวเอง ไม่พึงพอใจในตัวเอง เหมือนคนเหงาได้ทิ้งตัวตนให้เหงาอยู่ภายในอีกชั้นหนึ่ง จึงยิ่งอ้างว้าง”
คุณหมอปราณี บอกว่า ความเหงาต่างกับสันโดษ “อย่างพระหรือผู้ทรงศีล แม้ท่านจะอยู่อย่างสันโดษ แต่ไม่เคยบ่นว่าเหงา ความสันโดษมีแต่จะช่วยให้ท่านมีพลังและบรรลุธรรมได้เร็วขึ้น นั่นเพราะท่านตระหนักรู้ในตัวเอง ดูแลตัวตนภายใน ไม่ปล่อยตัวตนภายในให้เหงา เศร้า โกรธหรือโทษตัวเอง ท่านมีการพูดคุยกับตัวตนภายในของท่านในแง่ดีอยู่เสมอ”
เหงาแล้วเป็นยังไง
“สิ่งที่บ่งชี้ว่าคนนั้นมีปัญหาด้านสุขภาพจิตหรือไม่ สังเกตได้จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โรคทางกายอาจเห็นได้ง่ายจากอาการเจ็บไข้ อ่อนเพลีย แต่โรคทางใจนั้นจะแสดงออกผ่านอาการซึมเศร้า เก็บตัว หงุดหงิดง่าย”
“นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ บอกเล่าถึงอาการความเหงา “ถ้าถามว่า สภาวะเหล่านั้น จะส่งผลอันตรายหรือเปล่า ต้องดูว่า หนึ่ง เป็นอันตรายต่อตัวเองไหม เช่น ไม่กินไม่นอนจนร่างกายผ่ายผอม ทรุดโทรม สอง อันตรายต่อคนอื่นไหม เช่น ไปทำร้ายคนอื่น ทำให้คนใกล้ชิดทุกข์ใจ และสาม พฤติกรรมที่บ่งชี้ว่าสูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้ว เช่น ผลการเรียนตกต่ำประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอย่างน่าใจหาย กว่าจะถึงขั้นนี้มันก็อาจจะสายเกินแก้”
เมื่อเหงาหลายคนเล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือชอบเล่นเกมมากจนกลายเป็นพวกโอตาคุ อย่างที่ พญ.ปราณี ให้คำอธิบายว่า กลุ่มโอตาคุเป็นกลุ่มบุคคลผู้ซึ่งลุ่มหลงในโลกแห่งการ์ตูนและแอนิเมชันอย่างมาก จนคุยกับคนทั่วไปไม่ค่อยรู้เรื่อง หมกมุ่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเกินไป อาจกลายเป็นพวกแยกตัวเองออกจากสังคม ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างคนในชีวิตจริงกับในแอนิเมชันได้
“ทิชา ณ นคร” หรือ “ครูมล” ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก ซึ่งคุ้นเคยดีกับการดูแลปัญหาวัยรุ่นบอก กล่าวต่อว่า มันเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าคนขี้เหงา เก็บเนื้อเก็บตัว แปลกแยก ไม่เข้าสังคม จะมีแนวโน้มว่าเป็นอันตราย หรือก่อเหตุรุนแรง
“เราต้องยอมรับในแง่ที่ว่ามีคนบุคลิกแบบนั้น จริงๆ คนเงียบ ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบพูด ชอบฟังคนอื่นมากกว่า มีมานานแล้ว เพียงแต่ว่า พ.ศ.นี้ สังคมรอบตัวมันไม่แคร์ใคร คนเหงาจึงตกเป็นเหยื่อ แต่เขาก็อาจมีความสุขกับการอยู่คนเดียวมากกว่าก็ได้
“ต้องแยกแยะให้ชัดเจนระหว่างคำว่า ขี้เหงา หรือลุ่มหลงเทคโนโลยี บางคนที่ชอบก้มหน้ากดโทรศัพท์ เล่นเฟอร์บี้ พอเขาออกสังคมก็อาจพูดเก่ง มีเพื่อนเยอะก็ได้ พออยู่คนเดียวก็ยังก้มหน้ากดโทรศัพท์เหมือนกัน อันนี้คือลุ่มหลงแล้ว ไม่ใช่เหงา”
อาการเหงา คือ ต้นเหตุของปัญหาสุขภาพจิต ทั้งยังเกี่ยวข้องกับกายภาพ คนเหงาเสี่ยงของโรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ รวมทั้งอัลไซเมอร์ ความเหงาสามารถพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ในสังคมที่พัฒนาแล้วฆ่าตัวตาย
ความเหงาไม่ต่างกับไข้หวัด จอห์น คาซิออปโป นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความเหงา บอกว่า คนเหงามีแนวโน้มถ่ายทอดความรู้สึกเศร้าหมองไปยังคนรอบข้าง และทำให้คนเหล่านั้นปลีกตัวจากสังคมในที่สุด
ขนาดของเมืองสัมพัทธ์กับความเหงา พูดได้ว่า ความเหงาเป็นโรคของเมือง เป็นโรคของโลกาภิวัตน์ จากสถิติขององค์การอนามัยโลก ระบุว่าทั่วโลก มีคนมากกว่า 450 ล้านคน กำลังประสบปัญหาด้านสุขภาพจิต ส่วนใหญ่ คือ คนเมือง และสถิติก็บอกอีกว่า อัตราการฆ่าตัวตายส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในสังคมที่เรียกว่าพัฒนาแล้ว และส่วนหนึ่งเกิดจากความเหงา
อย่าปล่อยให้ความเหงาทำร้าย
ในวันที่โลกต้องเผชิญกับภาวะที่เรียกว่า “สังคมก้มหน้า” มนุษย์ต้องชาญฉลาด ด้วยการรู้เท่าทันเทคโนโลยี ครูมล เห็นว่า “เมื่อมีได้ก็ต้องมีเสีย โลกเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนหยุดไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าเราฝืนโลกไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมจำนนมัน มนุษย์เราต้องหาทางต่อสู้รับมือ ต้องรู้เท่าทันมัน เพราะถ้าปล่อยให้เทคโนโลยีมันมาจัดการชีวิตเราไปซะทุกอย่าง เราก็แพ้
“เคยสอนเด็กบ้านกาญจนาภิเษกโดยให้ดูรูปคน 8 คน ทุกคนเดินก้มหน้ากดบีบี ไม่มีใครคุยกับใครเลย เราถามเขาว่า ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดมีใครสักคนมีปัญหาต้องการความช่วยเหลือ ใครจะได้ยินเขาไหม เพราะแต่ละคนสนใจแต่ตัวเองทั้งสิ้น
“เราต้องแบ่งปันพื้นที่ส่วนตัวให้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่อยู่กับแต่ตัวเอง ความเหงามันมีอยู่แล้ว เนื่องจากพ่อแม่ พ.ศ.นี้ ต้องทำงานแข่งขันทุกอย่าง ลูกก็ถูกเลี้ยงด้วยวัตถุ โตมาท่ามกลางความเหงาแบบสุดขีด เมื่อเขาพบอะไรบางอย่างที่ช่วยคลายเหงาให้ได้ก็จะจมกับสิ่งๆ นั้น บางคนใช้เวลาสักพักจึงค่อยเงยหน้าได้ แต่ก็มีหลายคนที่จมลึกถอนตัวไม่ได้”
ส่วน นพ.ทวีศิลป์ นักจิตวิทยาชื่อดัง แนะนำว่าวิธีแก้เหงาได้ดีที่สุด คือ ต้องเข้าใจว่าความเหงาเป็นเรื่องธรรมชาติ เกิดขึ้นแค่ช่วงใดช่วงหนึ่ง ภาวะใดภาวะหนึ่งเท่านั้น
“เวลาเราอยู่คนเดียว โดดเดี่ยวลำพัง แล้วคิดฟุ้งซ่านว่าไม่มีใครสนใจ ลองย้อนมองดูที่ตัวเอง ต้องเข้าใจว่าจริงๆ ความเหงามันอาจเกิดขึ้นเฉพาะในนาทีนี้ คืนนี้เท่านั้น พรุ่งนี้ตื่นเช้าไปทำงาน ไปโรงเรียน เจอเพื่อนเจอฝูง เจอสังคม ก็ไม่เหงาแล้ว
ถึงแม้เราจะอยู่ในเมืองใหญ่ เทคโนโลยีก้าวหน้า มีเฟซบุ๊ก มือถือมีเฟซไทม์สามารถก้มหน้าคุยกับคนที่อยู่ไกลอีกซีกโลกก็ยังได้ แต่สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราก็มีอีกมากมายหลายอย่างน่าสนใจให้ทำ มีสระว่ายน้ำ มีสวนสาธารณะ มีห้างสรรพสินค้า ฟิตเนส มีคนอีกมากมายในสังคม มันขึ้นอยู่ที่ตัวเราว่าจะพาตัวเองไปปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ หรือไม่ พาตัวเองไปสู่สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ หรือเปล่า เราเลือกได้”
โปรดระวัง จงรู้เท่าทันความเหงา ก่อนที่ความเหงา ความโดดเดี่ยว จะยึดครองสังคมนี้


