posttoday

ส่องประวัติศาสตร์การบิน 100 ปีแห่งสยาม

17 กุมภาพันธ์ 2556

“กำลังทางอากาศเป็นโล่อันแท้จริงหนึ่งเดียวที่กันมิให้สงครามมาถึงท่ามกลางประเทศของเราได้ทั้งเป็นประโยชน์ใหญ่ยิ่งในการคมนาคมเวลาปกติ”

“กำลังทางอากาศเป็นโล่อันแท้จริงหนึ่งเดียวที่กันมิให้สงครามมาถึงท่ามกลางประเทศของเราได้ทั้งเป็นประโยชน์ใหญ่ยิ่งในการคมนาคมเวลาปกติ”

โดย...โยธิน อยู่จงดี

จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนารถ กรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ พระบิดาแห่งกองทัพอากาศ

เป็นเวลากว่า 20 กว่าปีแล้ว ที่ผมไม่ได้กลับมาที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ ดอนเมือง จำได้ว่าเวลานั้นยังเป็นโรงเก็บเครื่องบินไม่กี่โรง แสดงเครื่องบินรบรุ่นเก่า รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ที่เคยเข้าประจำการในประเทศไทยและปลดระวางนำมาจัดแสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาและการปกป้องอธิปไตยของชาติไทย

แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศที่เคยดูเก่าคร่ำคร่า ถูกปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยความทันสมัย มีบอร์ดความรู้จัดวางควบคู่ไปกับเครื่องบินรุ่นต่างๆ ที่ควรค่าแก่การจดจำ

เดินตามเส้นทางประวัติศาสตร์การบิน

ส่วนการจัดแสดงจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ก็คือส่วนประวัติศาสตร์ด้านการบิน และส่วนจัดแสดงเครื่องบินโบราณตั้งอยู่ในโรงเก็บเครื่องบินภายนอกซึ่งกำลังได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อรองรับคณะผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่เดินทางมาอย่างไม่ขาดสาย ในส่วนแรก ที่เราต้องเริ่มเดินไปทางซ้ายมือจะเป็นห้องจัดแสดงประวัติศาสตร์การบินโลกเริ่มตั้งแต่ 2 พี่น้องตระกูลไรต์สร้างเครื่องบินลำแรกของโลกได้สำเร็จ แม้จะบินได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 4 นาทีแต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลกทั้งใบไปตลอดการ

ไล่เรื่องราวตามทางโค้งของพิพิธิภัณฑ์ จึงพบเรื่องราวจากการบินโลกมาถึงกิจการการบินของไทย ผ่านภาพถ่ายและข้อความเล่าเรื่องราวในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 6 ก.พ. 2454 เมื่อ วันเดล เบอร์น ชาวฝรั่งเศส ได้นำเครื่องบินแบบออร์วิลล์ ไรต์ ปีก 2 ชั้น มาแสดงการบินครั้งแรกในประเทศไทย ที่สนามม้าสระปทุม นับเป็นช่วงเวลาที่จุดประกายความฝันของคนยุคก่อนถึงโลกการบินอันน่าพิสมัย

ในช่วงเวลาเดียวกัน จอมพลพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ได้ทรงปรึกษากับ จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนารถ กรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ เสนาธิการทหารบก ถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีเครื่องบินไว้ใช้ป้องกันประเทศเหมือนอารยประเทศในเวลานั้น

กระทรวงกลาโหมจึงจัดตั้ง “แผนกการบิน” (ยังสังกัดอยู่ในกองทัพบก) ขึ้นเป็นแผนกหนึ่งของกองทัพบก โดยมีนายทหารบก 3 คน ที่ได้รับคัดเลือก ได้ทำการคัดเลือกผู้ที่สมัครไปศึกษาวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศส พันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ (สุนี สุวรรณประทีป) นายร้อยเอก หลวงอาวุธสิขิกร (หลง สินศุข) นายร้อยโททิพย์ เกตุทัต ทั้ง 3 คนนี้ จึงเป็นนักบิน 3 คนแรกของประเทศไทย

จากนั้นเราจึงได้เห็นเครื่องบินขับไล่แบบปีก 2 ชั้น คอร์แซร์ (Corsair) และเครื่องบินขับไล่ปีก 2 ชั้น ฮอวก์ 3 (Hawk 3) เครื่องบินรบในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเหลือเพียงเครื่องเดียวในโลกเท่านั้นที่ยังอยู่ในสภาพดี ที่จะได้เห็นที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศดอนเมืองนี้เท่านั้น

แต่ประวัติศาสตร์การบินของประเทศไม่ได้สะท้อนผ่านเรื่องราวเครื่องบินเท่านั้น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งน่าจะเป็นยุคแรกของการรบทางอากาศที่ชัดเจนที่สุด กองทัพอากาศก็พยายามปกป้องอธิปไตยไม่ให้ญี่ปุ่นรุกล้ำแต่ด้วยกำลังพลและแสนยานุภาพยุทโธปกรณ์ที่น้อยกว่า จึงต้องยอมญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทย แม้ว่าเราจะวางตัวเป็นกลางแล้วก็ตาม เรื่องราวเหล่านี้ผู้ชมสามารถชมผ่านอาวุธของทหารอากาศในสมัยก่อน รวมทั้งโปสเตอร์ประกาศของชาวญี่ปุ่นที่ชักชวนคนไทยร่วมมือกันต่อต้านอังกฤษ เป็นภาพประวัติศาสตร์ซึ่งหาชมในยากยิ่ง

จากนั้นเส้นทางในพิพิธภัณฑ์ก็พาเข้าสู่ยุคของการบินด้วยเครื่องยนต์ไอพ่น ซึ่งเป็นเครื่องพื้นฐานของเครื่องบินรบยุคใหม่ ซึ่งเราจะได้เห็นเครื่องบินรบไอพ่นรุ่นแรกๆ ที่ได้ประจำการในประเทศไทย ไล่มาจนถึงเครื่องบินขับไล่กริปเพน เครื่องบินขับไล่จากประเทศสวีเดน ที่กองทัพอากาศไทยสั่งซื้อเข้ามาประจำการป้องกันประเทศรุ่นล่าสุด ซึ่งเราจะได้สัมผัสกับกริปเพนอย่างใกล้ชิดถึงขนาดเดินขึ้นไปดูที่ห้องนักบินได้เลยทีเดียว

เครื่องบินสัญชาติไทย

เชื่อว่าหลายคนคงเคยตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศไทยเราถึงไม่ผลิตเครื่องบินใช้เองเหมือนๆ กับประเทศอื่นๆ คำตอบก็คือ เคยครับ แต่สร้างได้เพียงแค่เครื่องเดียว แต่อาจจะมีเหตุผลทางการเมืองหรือความพร้อมในด้านอื่นๆ ที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาเครื่องบินรบเองได้ เครื่องบินลำนั้นก็คือ เครื่องบินบริพัตร สร้างในปี พ.ศ. 2470 โดย น.ท.หลวงเวชยันต์รังสฤษฎ์ (อดีต ผบ.ทอ.) ได้ออกแบบและสร้างเครื่องบินขึ้นในราชการ เป็นเครื่องบินประเภททิ้งระเบิด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า “บริพัตร” นับว่าเป็นการออกแบบและสร้างเครื่องบินใช้ในราชการได้เป็นครั้งแรก โดยคนไทยไม่เคยเข้าร่วมสงคราม แต่ทำหน้าที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศเท่านั้น และปัจจุบันก็ประจำการอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศแห่งนี้นี่เอง

สัมผัสของจริง

ส่วนสุดท้ายที่หลายคนอาจจะไม่อยากเดินเพราะต้องตั้งอยู่กลางแจ้งแดดร้อน ก็คือส่วนการจัดแสดงเครื่องบินภายนอกอาคาร ทั้งเครื่องบินฝึกหัด เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินขนส่งกำลังทางทหารจอดเรียงรายรอให้เราเดินชม แต่ที่ผมประทับใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็นเพื่อนเก่าที่เคยพบกันเมื่อ 20 กว่าปีก่อนในวันเด็ก ก็คือเครื่องบินลำเลียง C123B เขายังอยู่ในสภาพดีพอที่จะให้เราเดินเข้าไปชมได้อย่างปลอดภัย

เมื่อผมเดินเข้าไปภายในทุกอย่างกลับดูเล็กลงเมื่อเทียบกับความทรงจำครั้งเก่า แต่นั่นคงเป็นเพราะผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้น คันบังคับ ปุ่มปรับควบคุมการบินหลายร้อยปุ่มที่ห้องนักบินยังอยู่ครบ และแน่นอนว่าหากจะลองขึ้นไปนั่งก็ทำได้ เด็กๆ หลายคนจึงชอบเครื่องนี้มากเป็นพิเศษ ซึ่งผมแนะนำให้พาเด็กๆ มาในช่วงเช้าที่อากาศไม่ร้อนจนเกินไป

มองถัดไปข้างหน้ายังมีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ที่เคยประจำการอยู่ในกองทัพ แต่วันนี้เขาเกษียณตัวเองมาทำหน้าที่เป็นเพื่อนเล่นให้กับเด็กๆ ได้ลองนั่งจับคันบังคับของจริงๆ แล้วเล่นไปกับจินตนาการดีกว่าคุยกับตัวเฟอร์บี้เป็นไหนๆ

พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศแห่งนี้ยังมีเครื่องบินเก่าอีกหลายลำที่รอให้เราเข้าไปชมศึกษาและค้นคว้าเพิ่มเติม ซึ่งเป็นแหล่งความรู้สำหรับเด็กๆ และคนที่หลงรักเครื่องบิน และถ้าหากมีคนถามว่าคนกรุงเทพฯ ถ้าไม่เดินห้างแล้วจะไปเดินเล่นที่ไหน ผมว่าการเดินเล่นตามศูนย์การค้าเพื่อเสียเงินกับการเดินหาความรู้เพื่อสร้างเงิน อย่างไหนจะดีกว่ากันสำหรับคนรุ่นใหม่ ผมว่าคำตอบที่ดีที่สุดคุณย่อมรู้อยู่แก่ใจ r

 

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"