ดูแล้วดูอีก สร้างใหม่ก็ยังดูได้อีก !?
ตอนนี้หน้าจอละครไทยเรื่องเก่านำกลับมาเล่าใหม่ กำลังออกอากาศกวาดเรตติ้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คู่กรรม พรพรหมอลเวง
ตอนนี้หน้าจอละครไทยเรื่องเก่านำกลับมาเล่าใหม่ กำลังออกอากาศกวาดเรตติ้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คู่กรรม พรพรหมอลเวง
โดย...นกขุนทอง
ตอนนี้หน้าจอละครไทยเรื่องเก่านำกลับมาเล่าใหม่ กำลังออกอากาศกวาดเรตติ้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คู่กรรม พรพรหมอลเวง และยังมีที่กำลังถ่ายทำอยู่อีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ทองเนื้อเก้า อีสา ภาพอาถรรพ์ บ้านทรายทอง ฟ้าจรดทราย ฯลฯ แม้กระทั่งจอเงินก็กำลังถ่ายทำอยู่ 2 เรื่องคือ คู่กรรม และ พี่มากพระโขนง ซึ่งทั้งหมดกำหนดฉายให้ได้ชมกันภายในปี 2556 นี้
ละครย่ำกับที่หรือสังคมไม่เปลี่ยนแปลง
ทำไมละครไทยส่วนมากถึงยังวนๆ เวียนๆ อยู่กับเรื่องเดิมๆ และบทประพันธ์เดิมๆ ก็ถูกนำมาสร้างแล้วสร้างอีก มิหนำซ้ำยังได้รับความนิยมอีกต่างหาก ปรากฏการณ์นี้ “ฐนธัช กองทอง” อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และคอลัมนิสต์ มองไทยในสื่อบันเทิง นิตยสารออล ให้มุมมองว่า
“ผมมองว่านี่เป็นวัฒนธรรมของไทยไปแล้ว จริงๆ แล้วคนไทยเราไม่ได้ถือว่าการนำของเก่ามาทำอีกรอบเป็นการดูไม่ดี หรือแสดงออกถึงความไม่มีรสนิยม เพราะชีวิตคนไทยสมัยก่อนก็ดูลิเกเรื่องสังข์ทอง พระอภัยมณี เป็นสิบๆ ครั้งกว่าจะตาย แม้ว่าเขาจะจำเนื้อเรื่องได้หมดแล้ว แต่เขาดูว่าคณะนี้รำสวยไหม ร้องดีไหม นั่นคือเขาดูที่ศิลปะการแสดง เขาไม่สนใจว่าเรื่องจะเป็นยังไง ถัดมาที่เขาชอบเพราะเนื้อเรื่องเหล่านั้นมีการสอดคล้องกับสังคมไทยในบางด้าน ถึงสามารถฝ่าข้ามเวลา ซึ่งคนไทยผู้เสพจดจำได้และประทับใจ
ทำไมต้องกลับมาเอาเรื่องราวเก่าๆ เราต้องยอมรับบทประพันธ์ใหม่ยังไม่ได้มาตรฐาน ไม่โดนใจผู้จัดหรือผู้ชม พล็อตนิยายของคนรุ่นใหม่ ความซับซ้อนมันน้อยกว่า ไม่มีจุดที่ทำให้คนอยากตาม การเอาเรื่องเก่ามาทำใหม่ก็มีข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือมีกลุ่มที่อยากดู เนื้อเรื่องน่าสนใจได้รับความนิยมอยู่แล้ว แต่ก็มีความเสี่ยงในการตีความใหม่ และการแคสติ้งนักแสดง เรื่องบางเรื่องที่ถูกนำมาตีความใหม่ ผู้สร้างต้องวิเคราะห์แล้วว่าคนดูของเขาเป็นกลุ่มไหน ถ้าวิเคราะห์คนดูของเขาได้ถูก ตีความได้สอดคล้องกับสภาพสังคม อะไรคงไว้ อะไรเปลี่ยนแปลง เพราะบทเก่าไม่ใช่คนเก่าจะตามมาดูเสียหมด มันเหมือนการซื้อลอตเตอรี่จะถูกหรือไม่ถูก”
ส่วนเนื้อหาแบบไหนที่ถึงอกถึงใจคนดู ดูกี่ครั้งก็ไม่รู้เบื่อ “เรื่องของคู่การขัดแย้ง เช่น เมียน้อยกับเมียหลวง การแย่งมรดก การแย่งชิงผู้ชาย บันเทิงในบ้านเราแตกต่างจากประเทศอื่น เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย คู่ขัดแย้งแบบนี้ของเขาไม่ได้เป็นที่นิยม แต่ในบ้านคู่ความขัดแย้งแบบนี้ยังได้รับความนิยมอยู่ในบ้านเรา เราต้องยอมรับว่าละครเป็นสื่อบันเทิงของคนกลุ่มใหญ่ไม่เหมือนภาพยนตร์ รสนิยมของการเสพแบบนี้แทรกซึมเข้าไปอยู่ในบ้าน ตราบใดที่เรามีวัฒนธรรมแบบนี้ฝังรากลึกอยู่ ถ้าสังคมเปลี่ยนไป รูปแบบของละครก็เปลี่ยน มันคือเรื่องของสังคม มันปฏิเสธไม่ได้ นี่แหละเราหลงเข้าไปในจอ คิดถึงละครทำไมต้องเป็นแบบนี้ อย่างนางเอกติดขนตานอน ทำไมเรายังรับกันได้ เพราะคนไทยเราไม่ได้สนใจความจริงหรือความลวง แต่ความสมจริงที่ทำให้เราเชื่อและยอมรับได้ว่าว่าเขานอนนี่คือความสมจริงของเรื่องเล่า ไม่ใช่ความสมจริงในเรื่องจริง ที่จริงตรงนี้คือเสน่ห์ของละครไทย ที่ทำให้คนดูฉลาดกว่าละคร ให้รู้สึกเหนือกว่า เรารู้สึกมีอิทธิพลเหนือกว่าถึงดู เป็นจิตวิทยาการสื่อสารแบบง่ายๆ ถ้าละครซับซ้อยดูเมื่อไหร่เราโง่อีกแล้ว ซึ่งแบบนี้มันสอดคล้องกับบ้างประเทศแต่ยังไม่ใช่สังคมไทยในเวลานี้ ดังนั้นละครไทยของเราก็ต้องมีสีสันแบบนี้ บางครั้งมันก็เหมือนคำถามไข่กับไก่อะไรเกิดก่อนกัน สังคมควรพัฒนาละครหรือละครควรพัฒนาสังคม”
เหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่รสชาติชัดเจน
หน่อง-อรุโณชา ภาณุพันธุ์ ผู้จัดละครจากค่ายบรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น ทางช่อง 3 ได้นำ “แรงเงา” จากบทประพันธ์ของ “นันทนา วีระชน” มาสร้างเป็นละครแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2544 และ 2555 ซึ่งประสบความสำเร็จ กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ทั้งสองเวอร์ชัน วันไหนที่มีละครแรงเงาออกอากาศ รถราในกรุงเทพฯ บางตาเลยเชียว จนได้รับฉายาว่า “วันแรงเงาแห่งชาติ”
ทำไมแรงเงาถึงยังเป็นบทประพันธ์ที่ผู้จัดเอากลับมาสร้างใหม่ “เราเห็นโครงเรื่องสนุก มีแก่นของเรื่องที่ชัดเจน ให้สาระอะไรกับสังคม แล้วทำไมแรงเงานำมาทำกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ยังได้รับความนิยมนั้น ผู้จัดแรงเงา บอกว่า การที่เราเลือกบทมาทำ จริงๆ แล้วมองมุมง่ายๆ ก็คือมนุษย์เราไม่เปลี่ยน ยังมีเรื่องรักโลภโกรธหลง ชีวิตก็ยังเป็นวัฏจักรอยู่แบบนี้ เรื่องสามี ภรรยา ลูก เป็นเรื่องของสังคม เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยม แรงเงาเคยถูกสร้างมา 4 ครั้งแล้ว ทั้งของผู้จัดคนอื่นและของเราเอง ซึ่งทุกๆ ครั้งแกนเรื่องไม่ได้เปลี่ยนไปเลย บทพูดก็ยังเหมือนที่พูดเมื่อ 25 ปีที่แล้ว จะมีการปรับเปลี่ยนก็เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยเท่านั้น อย่างเวอร์ชันล่าสุดก็เพิ่มเรื่องของเทคโนโลยี คลิป โซเชียลเน็ตเวิร์ก การที่แรงเงายังได้รับความนิยม แสดงว่าเมื่อ 11 ปีที่เราทำ หรือย้อนหลังไปอีก สังคมไม่มีอะไรเปลี่ยน สังคมยังมีปัญหาใกล้เคียงกันมากๆ เรื่องของสามีภรรยาความเข้าใจของครอบครัว การเลี้ยงลูกที่ผิดพลาด ซึ่งเรื่องเหล่านี้สะท้อนถึงผู้ชมโดนใจของผู้คนในสังคมหลายระดับ”
“สันต์ ศรีแก้วหล่อ” ผู้กำกับละครคู่กรรม ปี 2556 และเคยเป็นผู้ช่วยกำกับภาพยนตร์คู่กรรม เมื่อปี 2538 “ผมรู้จักคู่กรรมตอนละครที่เบิร์ดกับกวางเล่น ผมว่าเสน่ห์ของเรื่องนี้คือเป็นเรื่องที่ครบถ้วนขององค์ประกอบโรแมนติก รักแบบให้น้ำหนักที่ชัดเจน ทำไมถึงรัก ทำไมถึงเกลียด เรื่องนี้มีปมที่ชัดว่าจะรักกันไม่รักกันเพราะอะไร พอได้มากำกับเอง คู่กรรมเป็นนวนิยายโรแมนติก อย่างไรเสียต้องมุ่งเน้นเอาความโรแมนติกออกมาให้ได้ จะรักจะเกลียด ตัดพ้อต่อว่ากัน ไม่เข้าใจกัน ต้องเอาออกมาให้ชัด มันมีความอวลๆ ทั้งรักทั้งเกลียด เกลียดจังเลยแต่ก็รักมากจัง โจทย์ของตัวเองส่วนใหญ่อยู่ตรงนั้น เรื่องของประวัติศาสตร์เป็นหีบห่อให้เรื่องนี้สวยงามขึ้นมา”
แน่นอนว่าละครเก่าเล่าทีหลังย่อมถูกนำไปเปรียบ “ผมว่าเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อเราตัดสินใจกระโจนขึ้นมารับมันแล้ว และคู่กรรมเป็นงานอมตะ ท้ายที่สุดพอผมทำ ผมก็ไม่กลับไปย้อนดูสักอย่างเดียว เราเอาความรู้สึกล้วนๆ เมื่อนั่งอ่านบทออกมา เราเห็นอะไรก็ตีความสิ่งนั้นไป แก่นแกนของเรื่องเป็นยังไง เอามาเขย่าตอบโจทย์ทุกอย่างให้มากที่สุด ผมคิดว่าเรื่องคู่กรรมมันโรแมนติก อังศุมาลินต้องเข้าไปขับเคลื่อนความโรแมนติกนี้ ทำไงให้เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เคยซาบซึ้งบทประพันธ์คู่กรรมดูแล้วไม่เบื่อ ถ้าเราทำเร็วทันสมัยมากเกินไป โฉ่งฉ่างทำอะไรหน้าโกโบริกับอังศุมาลินชนกันตลอดเวลา คนรุ่นเก่าคงบอกว่านี่ไม่ใช่คู่กรรม ตรงนี้ก็ช่วยกันคิดกับคนเขียนบท และนี่น่าจะเป็นเวอร์ชันที่เราไม่ห่างไกลจากบทประพันธ์มาก นำความประทับใจที่คนเห็นในคู่กรรมต่างๆ เอาออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นคู่กรรมในแบบที่ทุกคนประทับใจ”
“โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล” อีกหนึ่งผู้กำกับที่นำตำนานความรักของแม่นาคและพี่มากมาสร้างเป็นภาพยนตร์ “ที่สนใจเรื่องนี้เพราะผมตั้งใจทำหนังเกี่ยวกับแก๊ง 4 คน จากหนังคนกลาง และคนกอง แต่หาพล็อตมาผูกโยงเข้ากับตำนานแม่นาค เราตั้งข้อสมมติขึ้นมาว่า ให้ 4 คนนี้อยู่ในตำนาน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ตลกมาก ความน่ากลัวมีน้อยมาก เน้นฮามากกว่า ความตื่นเต้นมีนิดหน่อยเหมือน 2 เรื่องที่ผ่านมาแหละ แต่เรื่องความรักความโรแมนติกก็ยังมีไว้ เพราะผมเชื่อว่าคนที่ดูจบจะเข้าใจ เราไม่ได้ลบหลู่ เรามองตำนานนี้บูชาความรัก เราพูดถึงเรื่องนี้ด้วยสายตาบูชาแม้จะเป็นหนังตลก เป็นการทำงานที่ท้าทาย ตอนแรกนึกว่าง่ายเพราะเราได้คอนเซปต์ที่สนุก แต่นี่เป็นตำนานเรื่องดีมาก ถึงเราจะหยิบมาทำตลก เราก็ต้องทำให้เวอร์ชันนี้มีคุณค่าของมันเอง หัวใจของมันยังอยู่ไหม ผมไม่ชอบที่เราต้องเล่าแบบเดียว ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เรานำมาสร้างซ้ำก็คงไม่น่าสนใจ ไม่มีอะไรสนุกใหม่ๆ เรื่องก็จะน่าเบื่อ”
ตำนานแม่นาคเคยถูกนำมาสร้างหลายครั้งมาก แต่ผู้กำกับคนล่าสุดบอกว่า “แม่นาคเวอร์ชันอื่นๆ ผมดูบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ที่ดูจริงจังและประทับใจมากมีเรื่องเดียว คือ นางนาก ของ พี่อุ๋ย (นนทรีย์ นิมิบุตร) เป็นหนังคลาสสิก ดังนั้นเมื่อผมนำมาทำ ผมต้องไปคนละทางเลย เพราะทางนั้นพี่อุ๋ยทำไว้ดีมาก และเท่าที่หาข้อมูลยังไม่มีใครเล่ามุมผม เปลี่ยนชื่อเป็นพี่มากพระโขนงด้วย เราตีความใหม่ เล่าถึงพี่มากที่หลังกลับมาจากเป็นทหารแล้วมารู้ว่าเมียเป็นผี เหตุการณ์เดิมๆ ที่ทุกคนเคยเห็นในหลายๆ เวอร์ชันก็ยังมีอยู่ แต่จะออกมาเป็นยังไงไว้ดูของจริง (หัวเราะ)”
&<2288;


