คิดถึง ‘จ่าง แซ่ตั้ง’
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
แม้จะผ่านมานานกว่า 23 ปีแล้วที่ศิลปิน กวี นักปรัชญานามว่า จ่าง แซ่ตั้ง ลาลับจากโลกนี้ไป แต่ชื่อเสียงและผลงานยังคงถูกกล่าวขาน ทั้งยังส่งผ่านแรงบันดาลใจสู่คนรุ่นหลังไม่รู้จบ
ยามชีวิตโลดแล่น มีทั้งผู้ที่ชื่นชมและผู้ที่ไม่ยินดี บางคนว่างานของเขาแปลกใหม่ก้าวไปไกล บางคนกลับต่อต้านโจมตี ตั้งฉายาว่ากวีติดอ่าง เจ๊กหัดเขียนหนังสือ
วันนี้ ชัดเจนแล้วว่า ชื่อของ จ่าง แซ่ตั้ง หมายถึงตำนาน
ในฐานะคนไทยคนแรกที่สร้างสรรค์บทกวีรูปธรรม หรือที่เรียกว่าวรรณรูป เป็นจิตรกรผู้บุกเบิกงานแนวนามธรรม บทกวีหลายชิ้นถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศ แม้กระทั่งหลักสูตรการเรียนการสอน ตั้งแต่ชั้นมัธยม อุดมศึกษา จนถึงวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก ล้วนมีผลงานของศิลปินท่านนี้ปรากฏอยู่แทบทั้งสิ้น
นิทรรศการจิตรกรรมชื่อ “จ่าง แซ่ตั้ง:เพราะฉันต้องการ ที่ว่างของฉัน” กำลังจัดแสดงขึ้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงศิลปินขบถผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ รวบรวมเอาผลงานจิตรกรรม กวีนิพนธ์หาดูยาก จำนวนกว่า 40 ชิ้น โดยมี ทิพย์ แซ่ตั้ง ลูกชาย รับหน้าที่เป็นภัณฑารักษ์
“หากวันนี้พ่อยังอยู่ จะเป็นศิลปินแห่งชาติหรือเปล่า ผมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือท่านจะยังคงทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง พ่อผมท่านไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง”
เป็นที่รู้กันว่าชั่วชีวิตของจ่าง บนเส้นทางศิลปะ ไม่เคยมีการซื้อขายผลงานเกิดขึ้นเลย เนื่องจากอุดมคติแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้เงินมาชี้นำศิลปะเป็นอันขาด
“พ่อบอกเสมอว่าเมื่อเงินชี้นำการทำงานศิลปะ เมื่อนั้นงานศิลปะจะเป็นแค่เฟอร์นิเจอร์ หรืองานรับจ้าง”
หลังจ่างเสียชีวิตลง ทิพย์ก็รับช่วงต่อจากบิดาด้วยการเก็บผลงานทุกชิ้นไว้ ศึกษาอย่างหนัก เพื่อให้เข้าใจถึงแนวคิดของศิลปินผู้เป็นพ่อ จนในที่สุดก็ตัดสินใจเปิดพิพิธภัณฑ์จ่าง แซ่ตั้ง ภายใต้ปณิธานอนุรักษ์ เผยแพร่ให้ความรู้แก่ประชาชนคนทั่วไปที่สนใจงานศิลปะ
“สิ่งที่พ่อสร้างสรรค์ขึ้นมามันมีพลังในตัวเอง มันไม่ใช่ขยะไร้ค่า งานศิลปะของท่านอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ผมไม่ได้ไปโฆษณาชวนเชื่อ ผมทำความเข้าใจในงานของท่านจนรู้ว่ามันมีประโยชน์มากมายมหาศาลต่อสังคม ต่อวงการศิลปะ
ผมจึงอยากจะแบ่งปัน เหมือนเราไปกินอาหารอร่อยมา ก็อยากจะแบ่งให้คนอื่นกินด้วย” ทิพย์ว่า
ผลงานจิตรกรรมและกวีนิพนธ์ที่ถูกคัดสรรมาจัดแสดงในครั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นงานที่สาธารณชนไม่ค่อยเห็นกันนัก แบ่งออกเป็น 4 หมวด ประกอบด้วยภาพเหมือนบุคคล ภาพทิวทัศน์ จิตรกรรมแนวนามธรรม และกวีนิพนธ์รูปธรรม หรือวรรณรูป โดยอิงมาจากส่วนหนึ่งในข้อเขียนไม่ปรากฏชื่อของจ่างที่บันทึกไว้ว่า
ฉันเคยรับจ้าง เขียนรูปเหมือนให้พ่อแม่ชาวบ้าน
ฉันเคย เขียนภาพทิวทัศน์ แต่ไม่รับจ้าง
ฉันเคย สร้างภาพจิตรกรรม แต่ไม่รับจ้าง
ฉันเคย เขียนบทกวี แต่ไม่รับจ้าง
เพราะฉันต้องการ ที่ว่างของฉัน ฉันไม่อยากเป็นขี้ข้าคนอื่น ฉันอยากมีตัวฉันเอง
ผลงานมีทั้งภาพเหมือนแนวเรียลลิสติก ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนธรรมดา ชายแก่ หญิงสาว เด็ก พระ จนถึงพระเจ้าแผ่นดิน ในหลวงพระราชินีรัชกาลปัจจุบัน งดงามสมจริง มีชีวิตชีวา ภาพทิวทัศน์ บ้านเรือนในเรือกสวน ตลาด วัดวาอาราม สีสันสดสวย จนถึงจิตรกรรมแนวนามธรรม และงานวรรณรูปที่สร้างสรรค์ด้วยหมึกดำ ดุดันทรงพลัง
“พ่อเป็นศิลปินจนๆ ไม่มีเงินซื้อผ้าใบ แต่ความต้องการที่จะสร้างสรรค์มีสูง เลยเขียนบนกระดาษราคาถูก เขียนเสร็จก็เก็บซ้อนๆ กันไว้ในถุง กลางวันก็ช่วยแม่ผมขายของ ขายเก๊กฮวยเลี้ยงชีพ กลางคืนก็ทำงานศิลปะ
ท่านเคยบอกไว้ว่าฉันมีหน้าที่ทำงานสร้างสรรค์ วันไหนไม่เขียนรูป ก็เขียนบทกวี วันไหนไม่ได้เขียน ฉันไม่นอน”
“นิทรรศการชุดนี้ เผยให้เห็นความเป็นคนธรรมดา เรียบง่าย แต่ชัดเจนของพ่อ วัยเด็ก วัยหนุ่ม วัยทำงาน อีกด้านเราก็จะเห็นวิวัฒนาการในเชิงศิลปะและแนวคิดของท่าน เขียนรูปคน เขียนรูปวิว เขียนรูปนามธรรม เขียนบทกวี”
มีตั้งแต่ผลงานเบสิกทั่วๆ ไป จนถึงผลงานที่เราตามเค้าไม่ทัน ทั้งหมดมันสะท้อนให้เห็นรากส่งน้ำเลี้ยงจนออกดอกออกผล กลายเป็นรูปเป็นร่างเหมือนอย่างทุกวันนี้” ทิพย์ จบประโยคด้วยแววตาเป็นประกาย
ใครคิดถึงอาจารย์จ่าง แซ่ตั้ง ไปคารวะท่านผ่านผลงานได้ที่หอศิลป์ศุภโชค ดิ อาร์ต เซนเตอร์ สุขุมวิท 33 กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มี.ค. 2556
จ่าง แซ่ตั้ง เสียชีวิตด้วยโรคไตวาย เมื่ออายุ 56 ปี ผลงานทั้งหมดที่สร้างสรรค์ไว้ในขณะยังมีชีวิตอยู่ มีจิตรกรรมบนผ้าใบ 214 ชิ้น จิตรกรรมบนกระดาษ 5677 แผ่น ประติมากรรม 2 ชิ้น บทกวีรูปธรรม บทกวี เรื่องสั้น เรื่องสั้นสั้น เรื่องแปล บทความ ข้อเขียน บันทึก จดหมาย งานทดลอง 90,826 แผ่น ของเล่นเด็ก 1 ชิ้น ประตูศาลเจ้า 2 บาน และงานรับจ้างวาดภาพเหมือนบุคคลอีกไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด
ผลงานชิ้นสุดท้ายของจ่าง เขาสร้างสรรค์ขณะอยู่บนเตียงคนไข้ โรงพยาบาลราชวิถี เขาวาดรูปกระเช้าดอกไม้จากผู้มาเยี่ยม วาดด้วยปากกาเมจิกลงในสมุดเซ็นเยี่ยมไข้ของเขาเอง ตั้งชื่อว่า “ดอกไม้ค้างคืน”
หลังเสียชีวิต เคยมีการเจรจาซื้อขายผลงานของเขาในราคาสูงถึง 20 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นแต่อย่างใด


