posttoday

คิดถึงปลาบึก คิดถึงแม่น้ำของ

18 มกราคม 2556

โดย... เกรียงไกร แจ้งสว่าง

โดย... เกรียงไกร แจ้งสว่าง

หมู่แมกไม้เริ่มผลิใบ แม่น้ำโขงสีขุ่นข้น พัดพาเอาเศษขอนไม้พร้อมกับกลิ่นอายดินที่ถูกแผดเผายามหน้าแล้งไหลลอยล่องตามน้ำ เย้ายวนฝูงปลาใหญ่น้อยให้แหวกว่ายทวนสายน้ำเพื่อจับคู่และวางไข่ในพื้นที่ต้นน้ำในช่วงปลายเดือน เม.ย.ของทุกปี คนริมฝั่งโขงรู้ดีว่าสัญญาณเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูกาลแห่งความอุดมสมบูรณ์กำลังเวียนวนมาอีกครั้ง

เมื่อฝูงนกนางนวลบินอพยพขึ้นมาพร้อมกับดอกหางนกยูงเบ่งบานสะพรั่ง บ่งบอกว่าปลาบึก ปลาหนังน้ำจืดขนาดใหญ่ของโลกกำลังมาเยือนบริเวณดอนแวงเกาะกลางแม่น้ำ หน้าวัดหาดไคร้ ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย “มอง” อุปกรณ์จับปลาบึกถูกนำออกมาจากที่เก็บ มาประกอบทำพิธีเลี้ยงผีลวงและแม่ย่านางเรือ ทุกครั้งก่อนทำการจับปลาบึกตามประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แสดงถึงการเคารพต่อธรรมชาติของคนที่อยู่กับแม่น้ำ

คิดถึงปลาบึก คิดถึงแม่น้ำของ

 

ยามนึกถึงปลาบึกทุกคนนึกถึง อ.เชียงของ เมืองชายขอบเล็กๆ ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย อ.เชียงของ เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลกจากเหตุการณ์ องค์มกุฎราชกุมารญี่ปุ่นเสด็จฯ เยือนเชียงของทอดพระเนตรการจับปลาบึกในปี พ.ศ. 2539 ประกอบการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้นำเสนอเรื่องราวปลาบึก เป็นปลาเทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำโขง ทำให้ปลาบึกมีราคาพุ่งสูงขึ้น ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเพื่อยลโฉม และปลาบึกถูกยกเป็นปลามหัศจรรย์ แต่คนเชียงของกลับมองว่าปลาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นปลามง ปลาแค้ ปลาค้าว ปลาสร้อย ปลาแกงหรือปลาอื่นก็มีความสำคัญไม่แพ้ปลาบึก คนจับปลาบึกรู้ดีว่าแท้จริงแล้วเนื้อปลาบึกสู้เนื้อปลามงแม่น้ำโขงไม่ได้เลย

ปลาบึก หรือชื่อสามัญว่า “Mekong Giant Catfish” อพยพวางไข่ในช่วงเดือน ก.พ. ถึงเดือน พ.ค.ของทุกปี ปลาบึกพบเฉพาะในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำมูลและแม่น้ำสงคราม ปลาบึกปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ ในปี พ.ศ. 2526 กรมประมงได้เพาะขยายพันธุ์จากการนำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จากแม่น้ำโขงมาทำการวิจัยได้ลูกปลาบึกรุ่นแรกรุ่น F1 และต่อมาในปี พ.ศ. 2544 กรมประมงประสบผลสำเร็จในการเพาะขยายพันธุ์ปลาบึกรุ่น F1 จนได้ลูกปลารุ่น F2 ส่งผลให้ประเทศไทยมีพันธุ์ปลาบึกกระจายอยู่ทั่วประเทศ

ปลาบึกมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ ถูกจัดอยู่ในบัญชี CITES Appendix I ในบัญชีรายชื่อสัตว์ใกล้สูญพันธุ์โดยผู้เชี่ยวชาญและสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. 2539

แต่ 3 ปีที่ผ่านท่าจับปลาบึกหน้าวัดหาดไคร้กลับเงียบเชียบด้วยผู้คน จากโครงการอนุรักษ์ปลาบึก การหยุดจับคือการปกป้องปลาบึก คนหาปลาเป็นจำเลยสังคม เป็นนายพรานผู้ล่า จนสร้างความขัดแย้งในพื้นที่ การหยุดจับแบบฉับพลันจึงส่งผลต่อคนหาปลา เปรียบเสมือนการเอาคนออกจากน้ำ วิธีการเหมาะสมและการสร้างความเข้าใจดีแล้วหรือ จึงมีคำถามข้อเสนอต่างๆ ตามมาในพื้นที่ เช่น บ้างขอให้จับต่อไปได้แต่เป็นการจับเพื่อการท่องเที่ยว จับเพื่อศึกษา หรือเพื่อสืบทอดประเพณีท้องถิ่น เปลี่ยนจากนายพรานมาเป็นผู้รู้เล่าเรื่องราวปลาบึก บางก็บอกเลิกจับ บางก็อยากให้จับเหมือนเดิม

นเร จินะราช วัย 26 ปี เขาอาจเป็นพรานปลาบึกรุ่นสุดท้ายแห่งบ้านหาดไคร้ ผู้จับปลาบึกได้น้ำหนัก 300 กิโลกรัมในปี พ.ศ. 2548 ได้เล่าถึงชีวิตพรานปลาว่า

“ผมเกิดในครอบครัวคนหาปลา ปู่ ลุง อาก็หาปลาบึก ปีนั้นที่จับได้ ผมกับเพื่อนอีกสองคนลองไหลมองจับปลาบึกเล่นๆ ดู ปรากฏว่าจับได้จริง ตื่นเต้นมากและเป็นปลาตัวโตเท่าที่สถิติเคยจับได้ น้ำหนักประมาณ 280 โล ไม่รวมไข่นะ ถ้ารวมก็ประมาณ 300 โล ผมเชื่อว่าปลาบึกไม่มีทางหมดไปจากแม่น้ำของ หากแม่น้ำของยังคงความอุดมสมบูรณ์ ไม่มีสารเคมี การระเบิด ใช้ไฟฟ้าชอร์ตปลา ระเบิดเกาะแก่ง หรือสร้างเขื่อน”

แม้ในระยะหลังจะมีกระแสต่อต้านการล่าปลาบึก แต่นเรเห็นว่าควรหาทางอยู่ร่วมกัน

คิดถึงปลาบึก คิดถึงแม่น้ำของ

 

“กลุ่มผมเคยเสนอการจับแบบใหม่ คือจับเพื่อการท่องเที่ยว โดยให้คนที่ต้องการเรียนรู้วิธีการจับปลาบึกลงเรือไปกับเรา เสียเงินค่าน้ำมันหรือค่าใช้จ่ายให้พวกผม หรือดัดแปลงมองเพื่อการสาธิต แต่จับปลาไม่ได้จริง หรือจับมาศึกษาและขยายพันธุ์ หมู่บ้านเราจับปลาบึกได้และมอบให้กรมประมงมาขยายพันธุ์ไปทั่วประเทศ แต่บ้านผมไม่มีปลาบึกสักตัว พวกเราอยากผสมเทียมเอง ส่วนหนึ่งนำไปปล่อยลงแม่น้ำโขง และอีกส่วนขายเป็นรายได้เข้าชุมชน ผมเสียดายองค์ความรู้การหาปลาบึก กลัวหยุดเพียงแค่รุ่นผม”

แม้จำนวนปลาบึกจะลดลงเรื่อยๆ แต่หลายฝ่ายต่างหาทางออกร่วมกันเพื่อให้ปลาในตำนานแม่น้ำโขงดำรงเผ่าพันธุ์และมีตัวตนอยู่นานเท่านานได้อย่างไร จึงเป็นโจทย์ปัญหาใหญ่ของคนรักษ์ปลาบึกรักษ์แม่น้ำโขง

ส่วนข้อกังวลของคนลุ่มน้ำโขงอีกอย่างคือเขื่อนที่กำลังจะเกิดขึ้นในแม่น้ำโขงตอนล่าง 12 เขื่อน สร้างความกังวลต่อคนลุ่มน้ำโขงเพิ่มขึ้นอีก ถึงแม้จะมีบทเรียนจากระดับน้ำขึ้นลงผิดปกติ น้ำท่วมใหญ่เชียงของในปี พ.ศ. 2551 และภาวะน้ำแห้งผิดปกติในเดือน ก.พ. ปี พ.ศ. 2553 จาก 5 เขื่อนแม่น้ำโขงตอนบนในประเทศจีนมาแล้ว

เขื่อนไซยะบุรี ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างโดยที่ไม่มีการฟังเสียงทักท้วงจากคนในลุ่มน้ำโขง แม้แต่รายงานการศึกษาของกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ระบุไว้ชัดว่า ควรเลื่อนออกไปอีก 10 ปี เพื่อทำการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน และการสร้างเขื่อนตอนล่างทั้ง 12 เขื่อนจะทำให้แม่น้ำโขง 55% กระแสการไหลของน้ำเปลี่ยนไป แม่น้ำโขงจะมีลักษณะคล้ายอ่างเก็บน้ำ ทำลายระบบนิเวศที่ซับซ้อน การประมงเสียหายราว 2.6 ล้านตันต่อปี และเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ปลา 70% ของปลาธรรมชาติ และชนิดอื่นๆ อีก 41 สายพันธุ์

มิหนำซ้ำเขื่อนปากแบง แขวงอุดมไซย สปป.ลาว ดำเนินงานก่อสร้างโดยบริษัท ต้าถัง อินเตอร์เนชันแนล เพาเวอร์ จากประเทศจีน เป็นเขื่อนที่ใกล้กับเมืองเชียงของ กำลังวางแผนดำเนินการก่อสร้าง คาดการณ์ว่าหางน้ำน่าจะถึงบริเวณบ้านหาดไคร้ อ.เชียงของ

คนส่วนใหญ่ในลุ่มน้ำโขงยังไม่ทราบถึงข้อมูลเขื่อนที่กำลังจะเกิดขึ้น มีเพียงน้อยคนที่สนใจ แม่น้ำโขง แม่น้ำที่มีคนพึ่งพามากกว่า 60 ล้านคน ไหลผ่าน 7 ประเทศ หากนับรวมกับทิเบต ความยาว 4,909 กิโลเมตร มีความอุดมสมบูรณ์รองจากลุ่มน้ำอะเมซอน มีพันธุ์ปลากว่า 1,300 ชนิด การประมงมีมูลค่าสูงถึง 7 หมื่นล้านบาทต่อปี และลุ่มน้ำโขงตอนล่างนั้นเป็นแหล่งปลาน้ำจืดที่ชุกชุมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กำลังแปรเปลี่ยนไป

คนริมสองฝั่งโขง ลูกหลานแม่น้ำโขงจะทำอย่างไร @

ขอเชิญร่วม “ธรรมยาตราแม่น้ำโขง ครั้งที่ 2 เส้นทางเชียงแสนเชียงของเวียงแก่น จ.เชียงราย 18-26 ม.ค.นี้

ติดตามรายละเอียดได้ที่ http://www.facebook.com/pages/ธรรมยาตราเพื่อแม่น้ำโขงครั้งที่๒

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2