อ่านประวัติศาสตร์ (ไทย) ผ่านสารคดี “ศึก ๙ ทัพ”
โดย... โจ เกียรติอาจิณ
โดย... โจ เกียรติอาจิณ
หนังสือปกแข็ง เล่มหนา 410 หน้า สีเขียวสดใสสะดุดตา จั่วหัวชื่อว่า “ศึก ๙ ทัพ” จัดเก็บไว้ในบอกซ์เซ็ตสวยงาม แถมพร้อมภาพยนตร์สารคดีกึ่งละครชื่อเดียวกัน เปิดตัวไปตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว แต่เราเพิ่งมีโอกาสครอบครองหนังสือและเปิดคลี่ออกอ่านเมื่อไม่กี่วันนี่เอง
ต้องบอกว่าประทับใจยิ่งนัก ทั้งเนื้อหา รูปเล่ม ภาพประกอบ ตลอดจนภาษา สามารถอ่านได้เพลินๆ หรือจะอ่านเอาเรื่องก็ได้ประโยชน์เต็มขั้น เพราะนี่คือการรวบรวมประวัติศาสตร์ชาติไทยได้ครบเครื่องครบครัน โดยใช้สงครามเก้าทัพเป็นจุดเชื่อมโยงไปสู่เหตุการณ์ต่างๆ จากปลายกรุงศรีอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์สมัย
หนึ่งในทีมผู้ค้นคว้าข้อมูลและลงมือเขียน “อ.วงเดือน นาราสัจจ์” (อีก 2 คนได้แก่ อ.ชมพูนุท นาคีรักษ์ กับ อ.สุวรรณา สัจจวีรวรรณ) ยอมรับงานเขียนเล่มนี้ข้อมูลค่อนข้างแน่นปึ้ก ด้วยว่าเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ การสืบค้นจึงต้องใช้เอกสารที่มีการยอมรับในวงกว้าง จึงจะได้ประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์และน่าเชื่อถือ
“อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ก็จริง แต่การจะเขียนหนังสือประวัติศาสตร์ให้น่าอ่านและน่าเชื่อถือก็ต้องไม่ได้อาศัยจากภูมิรู้ หรือความทรงจำเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการสืบค้นข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่ดีที่สุดคือข้อมูลที่คนให้การยอมรับ ที่ไม่ได้เอนเอียง อคติ หรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น พงศาวดารไทย พงศาวดารพม่า หลักฐานที่นักประวัติศาสตร์พม่าเขียนไว้ แล้วก็หลักฐานที่นักประวัติศาสตร์ไทยไปค้นจากพม่าได้”
การสืบค้นและรวบรวบข้อมูลในการทำหนังสือเล่มนี้ ใช้เวลาอย่างเร่งด่วน เพียง 5 เดือนเท่านั้น ผู้เขียนยอมรับว่ากดดันและท้าทาย ขณะเดียวกันก็รู้สึกสนุกผสานกับเหนื่อยหนัก เนื่องจากมีเงื่อนเวลาไล่จี้ตามหลังมาติดๆ ถึงอย่างนั้น สุดท้ายหนังสือก็คลอดทันกำหนด ถือเป็นหนังสือเล่มพิเศษในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทั้งยังเป็นของขวัญปีใหม่ที่คนไทยควรค่ามีไว้ติดบ้านติดมือ
เนื้อหาในหนังสือแบ่งออกเป็น 3 ภาค บอกเล่าเรื่องราว 3 ช่วงประวัติศาสตร์ ที่เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย แต่ละภาคจุใจด้วยข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ลึกซึ้งและเข้าถึงแก่นสาระ แต่ไม่น่าเบื่อจนนึกอยากวางหนังสือแน่ๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งทำให้ตระหนักในความเสียสละของบรรพบุรุษ ที่ช่วยสร้างและธำรงชาติไทยให้คงอยู่จวบปัจจุบัน ที่สำคัญ หนังสือยังไม่ลืมที่จะสอดแทรกเกร็ดเล็กๆ ไว้ให้อ่านอีกเพียบ ขาดไม่ได้คือ ภาพประกอบที่หลากรูปแบบ ซึ่งน่าสนใจมากๆ เช่น ภาพจิตรกรรม ภาพถ่าย ภาพแผนที่โบราณ รวมถึงงานประติมากรรมและสถาปัตยกรรม อันสะท้อนถึงความเป็นเอกอุด้านศิลปกรรมศาสตร์
“ถ้าวัดจากช่วงเวลาการทำงาน อาจารย์คิดว่าพอใจกับหนังสือที่ออกมานะ ถือว่าสมบูรณ์ดี แต่ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ก็คงมีโอกาสได้ขยายบางอย่างที่อาจารย์ค้นเจอ ซึ่งน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว ในฐานะคนเขียนอาจารย์ก็อยากให้งานออกมาดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด น่าอ่านที่สุด โดยคนเขียน 3 คน ก็แบ่งกันเขียนคนละภาค อาจารย์ก็รับผิดชอบเขียนภาค 2 ชื่อว่า ธำรงขอบขัณฑสีมา ว่าด้วยการทำศึกสงครามทั้งหมดค่ะ”
ผู้เขียนก็พยายามจะทำให้ประวัติศาสตร์ไม่เป็นเรื่องน่าเบื่อ โดยใช้ภาษาชวนอ่าน เรียบง่าย อ่านเข้าใจง่าย ไม่ต้องแปลความ หรือตีความหมายกันให้ซับซ้อน แต่ที่สุดแล้ว อ.วงเดือนว่า ยังไงประวัติศาสตร์ก็คือประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องเก่า เรื่องโบราณ เป็นการบันทึก เป็นข้อมูล เป็นข้อเท็จจริง คงไม่สามารถจะลดทอนความเข้มข้นลงไปได้มากเท่าไหร่
“อย่างเล่มนี้อาจารย์ไม่ได้ใช้วิธีเล่าอย่างเดียว เพราะถ้าเล่าอย่างเดียวอาจารย์ก็ว่าน่าเบื่อ และคนก็อาจไม่อยากอ่านได้ อาจารย์ก็เลยแทรกด้วยบทวิเคราะห์และสังเคราะห์ สงครามแต่ละครั้งสู้รบกัน ทำไมถึงรบ แพ้เพราะอะไร ชนะเพราะอะไร จุดอ่อน จุดแข็ง แต่ละฝ่ายคืออะไร ภาษาที่อาจารย์ใช้เขียนก็ใช้ภาษาที่เรียบง่ายที่สุด ภาษาที่ยากๆ ก็จะเลี่ยง หลังจากเขียนต้นฉบับเสร็จก็จะมาปรับโทนภาษาให้น่าอ่าน แต่เนื้อหาไม่ปรับยุ่งกับมันไม่ได้ ยังต้องคงความเข้มข้นไว้เหมือนเดิม”
ถือเป็นหนังสือน่าอ่าน น่าสะสม และคนไทยทุกคน สมควรต้อง (ได้) อ่าน เพราะนี่คือการเข้าใจรากเหง้า เข้าถึงความเป็นมาของชาติไทย ใครสนใจเป็นเจ้าของ หาซื้อได้ที่ธนาคารกสิกรไทย ทุกสาขา ทั่วประเทศ ราคาชุดละ 1,280 บาท รายได้ทั้งหมดมอบให้กองทัพบก เพื่อสนับสนุนและสร้างโรงพยาบาลค่ายทหาร


