ปีใหม่-ความไม่ประมาท
ณ บัดนี้ จักแสดงพระธรรมเทศนาอัปปมาทกถา พรรณนาเรื่องความไม่ประมาท...
ณ บัดนี้ จักแสดงพระธรรมเทศนาอัปปมาทกถา พรรณนาเรื่องความไม่ประมาท...
โดย...ภัทระ คำพิทักษ์
ณ บัดนี้ จักแสดงพระธรรมเทศนาอัปปมาทกถา พรรณนาเรื่องความไม่ประมาท...
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันขึ้นปีใหม่ หรือตั้งแต่เที่ยงคืนไป ถ้าใช้ตามสากล เขาใช้คำว่า ตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป นับเป็นวันที่ 1 เป็นวันขึ้นปีใหม่ นี้ก็เป็นไปตามโลกนิยมหรือความนิยมชมชอบ หรือความกำหนดของประชาชนพลโลกทั้งหลาย แต่ความจริงนั้น ไม่มีอะไรเก่าไม่มีอะไรใหม่ มีเวียนเปลี่ยนกันไปอย่างนี้ วันนี้สว่างขึ้น พอดวงอาทิตย์ตกดินก็มืด พอรุ่งขึ้น อรุณขึ้นก็เรียกกันว่า วันใหม่ ก็เพียงให้รู้ว่า นี้คือวันนี้ โน่นคือพรุ่งนี้ เปลี่ยนกันไปอย่างนี้ ไม่มีจบไม่มีสิ้น มีมาแล้วตั้งแต่ตั้งโลก ไม่รู้ว่าเมื่อไรกัน
อาตมภาพก็ไม่สามารถที่จะบรรยายให้ญาติโยมทั้งหลายฟังได้ว่า วัน เดือน ปี เกิดขึ้นอย่างไร แต่โดยที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดนั้น ให้กำหนดด้วยอวิชชาคือความไม่รู้ วัน เดือน ปี เปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม เพราะเราไม่รู้ แต่เมื่อเรารู้ วิชชาหรือปัญญาเกิดขึ้น เมื่อนั้นก็จะสิ้นความทุกข์ นี้ทรงประทานไว้อย่างนี้
เพราะฉะนั้น จะเป็นวันขึ้นปีใหม่ หรือเดือนใหม่ ปีเก่า เดือนเก่า ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นของประจำโลก แต่เมื่อมีกำหนดอย่างนี้ ก็มีข้อเตือนใจให้ท่านทั้งหลายทำแต่ความดี
เมื่อวันพระที่แล้ว อาตมภาพได้นำคำว่า “สวัสดี” มาชี้แจงให้ญาติโยมทั้งหลายฟัง เชื่อว่าญาติโยมหลายคนคงจะจำได้ แต่ก็คงอีกหลายคนเหมือนกันจำไม่ได้ เพราะสนใจฟังแต่ไม่ได้สนใจจำ อาตมภาพนำข้อตอบของพระรูปหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีพรรษาอายุอยู่ที่วัดสุวรรณดาราราม เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภะ) ท่านเทศน์จบลงมาแล้ว ท่านก็ถามว่า หลวงตาที่เทศน์ไปนั้นเรื่องอะไร หลวงตาก็ตอบว่า “ผมตั้งใจฟัง แต่ไม่ได้สนใจจำ จำไม่ได้” ก็เป็นอันว่าจบกันไป ก็คงจะมีบ้างในทำนองนี้ จึงนำเอาคำนี้มาให้ญาติโยมทั้งหลายทำความเข้าใจ ซึ่งเรียกกันว่า “เบญจขันธ์” นั้น เมื่อเกิดขึ้นมา ก็เจริญขึ้นด้วยอาหาร ของคาวของหวาน ขนดสดขนมแห้ง ก็ทำให้รูปขยายตัวขึ้นตามลำดับ เป็นเด็กอ่อนนอนหงาย เป็นเด็กเดินได้วิ่งได้ เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นคนกลางคน เป็นคนแก่ และที่สุดก็เป็นคนเฒ่าเข้าโลงไป
นี้เป็นอยู่อย่างนี้ เวทนา ความเสวยอารมณ์ บางทีก็เป็นสุข บางทีก็เป็นทุกข์ บางครั้งก็ไม่สุขไม่ทุกข์เรียกว่า อุเบกขาเวทนา มันก็เสื่อมไป สัญญาความจำได้หมายรู้...แต่พอนานเข้า อายุมากเข้า ความจำก็เสื่อม บางทีนึกถึงตัวเองว่า อายุเรานี้เท่าไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว เพราะจำอายุตั้งแต่ต้นมาจนถึงบัดนี้จำไม่ได้แน่ นี้ความเสื่อมเป็นอย่างนี้
สังขารในที่นี้ หมายถึง การปรุงแต่งอารมณ์ ปรุงแต่งว่า สิ่งนี้ควรทำอย่างนี้ สิ่งนี้ควรทำอย่างนี้ หรือสิ่งนี้เราได้ทำแล้ว สิ่งภายหน้าจะต้องทำอย่างนี้ หรือขณะที่รู้รับทราบอารมณ์แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ ก็เป็นเรื่องของความเปลี่ยนแปลง เราก็จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง หรือบางทีก็ลืมไป หรือบางทีก็ช้า ตัวปรุงแต่งอารมณ์นี้ช้า
อาตมาสังเกตตัวเอง เช่น เป็นหัวหน้าขึ้นสวดมนต์ ขึ้นนะโม แล้วก็ตั้งใจสวด ส่งจิตไปตามกระแสของบทสวด คือ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ส่งจิตไปทุกตัวอักษร จนกระทั่งครบ 3 จบตามที่ท่านกำหนดไว้ ตสฺส ครั้งที่ 3 พอจะขึ้นบทใหม่ว่า พุทฺธํ ก็นึกไม่ออก เพราะสัญญาซึ่งเป็นตัวปรุงแต่งอารมณ์เสื่อมไประงับไป เมื่อขึ้น พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ จนกระทั่งถึง ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ว่าจนจบ ส่งจิตหรือให้จิตยึดตัวบทสาธยายจนจบ จะขึ้น อเสวนา จ พาลานํ ก็นึกไม่ทัน ต้องหยุด หรือบางทีก็อาจจะขึ้นผิดก็มี เป็นอย่างนี้ เรื่องของสัญญา
ในสมัยที่เรียนหนังสือก็ไม่เข้าใจ ในสมัยที่เป็นเณรเรียนนักธรรมชั้นตรี ก็ว่าไปตามตัวเท่านั้นเอง...เพิ่งมารู้ตอนอายุมากว่า สัญญาเป็นอย่างนี้ สังขารเป็นอย่างนี้ วิญญาณเป็นอย่างนี้
วิญญาณคือการรู้แจ้งอารมณ์ จะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจก็ตาม เมื่อตาเห็นรูปก็รู้ว่า นี้รูปผู้หญิง นี้รูปผู้ชาย หรือรูปถาวรวัตถุ หรือรูปที่มีใจครอง หรือรูปที่ไม่มีใจครอง ก็ปรากฏเห็นได้ทันที แต่พออายุมากเข้า ตาฝ้าฟาง เห็นคนเดียวแต่ดูเป็นสองหน้าเสียแล้ว นี้เป็นความเปลี่ยนแปลงของตา หรือบางทีจำหน้าคนนี้ไปเหมือนคนนั้น ทักผิด ทักถูกก็มี เพราะวิญญาณของเราเสื่อม
ให้ญาติโยมสาธุชนทั้งหลายทุกท่านทุกคนกำหนดว่า เบญจขันธ์ คือ สิ่งที่ปรุงแต่ง เราท่านทั้งหลายมาเป็นมนุษย์ หรือเป็นปุถุชนคนสามัญ มี 5 ประการ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีความเสื่อมไปทุกขณะ ทุกเวลา ไม่ต้องรอวันใหม่ วันเก่า เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนเราท่านทั้งหลาย เพื่อให้รู้หลักธรรมคำสอน
คำว่า “สวัสดี” นั้น มาจากคำว่า โสตฺถิ โสตฺถิ แปลว่า ความสวัสดี โสตฺถิ โดยที่ศัพท์เดิมนั้น คือ สุอตฺถิ สุ ดี งาม อตฺถิ แปลว่า มี พฤทธิ์ อุ ที่ สุ เป็น โอ ก็เป็นคำว่า โสตฺถิ โสตฺถิ แปลว่า มีดี หรือเป็นดี หรือมีความงาม เป็นของงาม อตฺถิ แปลว่า มี สุ ดี งาม ง่าย จะแปลว่าง่ายไปอีกคำ คงจะไม่งามนัก แปลแต่ดีกับงามก็แล้วกัน
โสตฺถิ แปลว่า ดีงาม มีดีงาม คนที่จะมีดีงามนั้น ต้องมีหลักการแนวทางปฏิบัติ ต้องมีแนวทางปฏิบัติ ญาติโยมทั้งหลาย แนวทางปฏิบัติที่จะให้เกิดสวัสดีนั้นเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า นาญฺญตฺร โพชฺฌา นอกจากปัญญาเครื่องตรัสรู้ ปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ พิจารณาตามความเป็นจริง พิจารณาเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามความเป็นจริง ไม่เห็นด้วยความโลภ ไม่เห็นด้วยความโกรธ ไม่เห็นด้วยความหลง
นาญฺญตฺร ตปสา นอกจากความเพียร คือ เพียรที่ละบาป บำเพ็ญบุญ หรือเพียรที่กระทำความดีความชอบ นอกจากความเพียร นาญฺญตฺร อินฺทฺริยสํวรา นอกจากการสำรวมอินทรีย์ คือ สำรวมกาย วาจา และใจ อินทรีย์ก็อินทรีย์ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะเหล่านี้เป็นเรื่องที่จะต้องสำรวม เรียกว่า สำรวมอินทรีย์ แล้วก็ นาญฺญตฺร สพฺพปฏินิสฺสคฺคา นอกจากการสละสิ่งที่เป็นข้าศึกทั้งปวง สพฺพปฏินิสฺสคฺคา สละข้าศึกคือ โลภ โกรธ หลง สละสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่การประพฤติดี ปฏิบัติชอบ สละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อการรู้ดี รู้ชอบ ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ
นอกจากสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า น ปสฺสามิ โสตฺถึ ปาณินํ เราจะไม่พิจารณาเห็นอย่างอื่น เป็นความสวัสดีของสัตว์ทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นอย่างอื่นนอกจากปัญญาเครื่องตรัสรู้ แล้วก็ความเพียร และการสำรวมอินทรีย์ และการสละคืนกิเลสตัณหา เป็นความสวัสดีของสัตว์ทั้งหลาย ก็หมายถึงว่า พวกเราทั้งหลายนี้ ต้องหาทาง ต้องประพฤติทางที่เป็นเครื่องให้ถึงความสวัสดี
เครื่องให้ถึงความสวัสดีของเรานั้น คืออะไร คือ ปัญญาเป็นเครื่องรอบรู้ ความเพียรที่จะประกอบธุรกิจในทางที่จะให้ได้บุญได้กุศล ให้เกิดขึ้นมาแก่ตน และการสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรา ให้สำรวมระวัง เกรงว่าจะมีการผิด มีการพลาด ทำให้เสียหายการปฏิบัติตามชอบตามควรนั้นๆ และต้องสละคืนกิเลสทุกอย่าง ที่จะทำให้เกิดความเศร้าหมอง จะเป็นราคะ โทสะ โมหะ หรือมานะ ทิฐิ อิจฉา ริษยา สิ่งที่มีอยู่ในตัวในตนนี้ ต้องสละให้หมดไป
เราจึงจะมีดี เราจึงจะถึงความดี หรือเราจึงจะถึงความสวัสดี
เพราะฉะนั้น ขอให้ญาติโยมทั้งหลายทุกท่านทุกคน ทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนนี้ว่า ที่เราจะสวัสดีกันนั้นน่ะ เราจะต้องมีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทางปฏิบัติก่อน แล้วจะไปบอกให้คนอื่นทำความสวัสดีนั้น จะได้ง่ายขึ้น ถ้าเขาจะถามว่า สวัสดี มีความหมายอย่างไร อาจจะต้องตอบได้ว่า ต้องมีปัญญา ต้องมีความเพียร ต้องมีความสำรวมระวังกาย ต้องสละความชั่วร้ายที่มีอยู่ในตัวในตน จึงจะถึงความสวัสดี
ข้อนี้เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ญาติโยมผู้ฟัง เพราะประการแรก เราจะต้องทำตัวทำตนของเราให้ถึงความสวัสดีก่อน แต่เมื่อญาติโยม เคยปฏิบัติ เคยทำมาแล้ว สวัสดีปีใหม่ ให้มีโชคมีชัย คิดอะไรให้สมความมุ่งมาดปรารถนา ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเป็นเรื่องที่ผู้ฟังฟังแล้วสบายใจ สบายหู แล้วเขาก็จะขอบคุณ แล้วเขาก็จะสวัสดีตอบ สวัสดีจ้ะ ขอให้คุณได้รับผลของความสวัสดีด้วย แต่ความจริงนั้น เป็นไปเพียงคำที่ทำให้ชื่นใจ หรือให้สุขใจ สบายใจ ดีกว่าไม่ได้ยินเท่านั้นเอง แต่ถ้าจะให้ถึงความสวัสดีจริงๆ จะต้องปฏิบัติตามแนวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ จึงจะเป็นว่ามีดี มีความงาม หรือได้ดี ได้ความงามได้ แต่การจะมากล่าวคำว่า ให้อยู่ดีมีสุข ให้อยู่ดีเจริญ หรือมีความสิ้นโรคภัยไข้เจ็บ ก็ไม่ได้เสียหาย เป็นคำที่ทำให้ใจเอิบอาบ พระพุทธเจ้าก็ยกย่องสรรเสริญเหมือนกัน มนาปเมว ภาเสยฺย นามนาปํ กุทาจนํ บุคคลควรพูดแต่สิ่งที่ชอบใจ สิ่งที่ถูกใจ นามนาปํ กุทาจนํ ไม่ควรพูดถึงเรื่องที่ไม่ถูกใจ เรื่องที่ไม่ชอบใจในกาลไหนๆ ท่านว่าไว้อย่างนี้
เราพูดแต่สิ่งที่ชอบใจ ถูกใจ คนฟังก็สบาย แต่อาจจะไม่ได้ความสบายตามที่พูดที่กล่าวหรอก ต้องปฏิบัติ ต้องทำจึงจะได้
ในภัทเทกรัตตสูตรนั้น พระพุทธเจ้าสอนไว้ชัดเจนว่า อตีตํ นานฺวาคเมยฺย ไม่ควรนึกถึงเรื่องที่ล่วง เรื่องที่ล่วงแล้ว จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม อย่าไปใส่ใจ อย่าไปสนใจ เพราะเรื่องล่วงมาแล้ว พอใส่ใจแล้ว อาจจะเกิดเป็นทุกข์ใจได้ และเป็นทางกั้นทางขวางความสวัสดีที่จะเกิดมีขึ้นได้ เพราะฉะนั้น เรื่องที่ล่วงแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่เขาด่า เขาว่า หรือเขาทุบตี ถ้าหากเราไปคิด เราก็จะเกิดคิดว่า เราก็ด่าเขาได้ เราก็ทุบตี ทุบต่อยเขาได้ เราก็มีกำลังวังชาที่จะทำตอบได้ ก็จะเป็นเรื่องทำตอบ เป็นเรื่องเสียหายใหญ่ เพราะฉะนั้น เรื่องที่ล่วงแล้ว อย่าไปใส่ใจ อย่าไปสนใจ แม้ถ้าหากจะสนใจ หากจะใส่ใจ ก็แก้ไม่ได้ เพียงแต่เอาเป็นกระจกเงา เป็นเครื่องส่องว่า ดีหรือไม่ดี
นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ เรื่องที่ยังมาไม่ถึง อย่าไปคิด อย่าไปนึกว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้ เช่น เราเรียนหนังสือ พระเณรจะต้องได้ประโยค 9 ทุกคน เป็นไปไม่ได้ หรือจะต้องเป็นปริญญาเอกทุกคน เป็นไปไม่ได้ เรียนตั้งใจเรียนตามความสามารถ หรือสติปัญญาของเรา ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด แล้วผลของการเรียนก็จะออกมาเอง ว่าระดับไหน แค่ไหน อย่างไร อย่าไปคิดสร้างว่า จะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้ หรือพอเราโตแล้ว จะต้องมีบ้านอยู่ จะต้องมีคู่ครอง เป็นคนอย่างนั้น ลักษณะอย่างนั้นๆ จะต้องมีลูกมีหลานว่านอนสอนง่าย จะต้องเป็นไปอย่างนั้นๆ
มีเรื่องเล่าไว้ว่า พระภาคิเนยย์สังฆรักขิต เป็นหลานชายของพระเถระองค์หนึ่ง ท่านก็ปฏิบัติอาจารย์อยู่ ในขณะที่ปฏิบัติอาจารย์นั้น ก็นั่งพัดให้อาจารย์คลายความร้อน ในสมัยก่อนยังไม่มีพัดลมเหมือนอย่างปัจจุบันนี้ นั่งพัดนั่งโบกให้อาจารย์ แล้วก็คิดไปว่า ต่อไปเราก็คงจะต้องสึกหาลาเพศ จะไม่ได้อยู่กับอาจารย์ สึกหาลาเพศไป เราก็จะแต่งงาน เราจะมีภรรยา เรามีภรรยาแล้ว เราก็คงมีลูก เมื่อมีลูก เราก็จะไปกราบพ่อกราบแม่ ภรรยาอุ้มลูกไม่ดี ตกลงไปข้างล่าง พอลูกตกไปข้างล่าง เราก็จะโกรธ จะเอาไม้แส้ตี จะเอาไม้แส้ตีภรรยา
เมื่อถึงตรงนี้ ท่านลืมตัวไปว่า เรายังเป็นพระอยู่ ไม่รู้ว่าสึกแล้วหรือยัง กลับเอาด้ามพัดตีหัวอาจารย์เข้า นี้เรื่องสร้างวิมานในอากาศ จึงเกิดเรื่องอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อย่าไปหวังเรื่องที่ยังมาไม่ถึง อย่าไปคิด เพราะมันจะเป็นไปตามที่เรานึกเราคิดไม่ได้ ต้องพยายามทำ
เราอยากได้ดี ก็ต้องทำความดี จะเป็นความดีทางกายก็ตาม ความดีทางวาจาก็ตาม ทางใจก็ตาม ต้องทำดีให้หมด แล้วก็จะถึงความดี ส่วนเรื่องที่เลวที่เสีย เราจะไม่คิด เราจะไม่ทำ เพราะฉะนั้น ขอให้ญาติโยมทุกคนทำความเข้าใจว่า เรื่องที่ยังไม่มาถึง หรือสร้างวิมานในอากาศ สร้างอนาคต อย่าไปใส่ใจกันเกินไป
ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ ท่านว่าผู้ใดเห็นปัจจุบันธรรม คือ ความเป็นจริงในปัจจุบัน ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลนในปัจจุบันธรรม คือ ในขณะที่มีอยู่ ในขณะที่เป็นอยู่นี้ แล้วก็รู้แจ้งเห็นจริงในส่วนนั้นแล้ว ก็พึงกระทำปัจจุบันธรรม หรือพอกพูนปัจจุบันธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้น เช่น ญาติโยมทั้งหลาย มารักษาศีล มาฟังธรรม เห็นว่าการรักษาศีล การฟังธรรม การปฏิบัติธรรม ทำให้ตนมีความสุขกาย สบายใจมากขึ้น เป็นคนละโลภ ละโกรธ ละหลง ได้มากๆ แล้วพึงทำปัจจุบันธรรมนี้ให้มากขึ้น ให้ยิ่งขึ้น รักษาศีล 5 มีความสุขเพียงเท่านี้ ก็ขอให้ตั้งใจรักษาศีล 8 ต่อไป เมื่อรักษาศีล 8 มีความสุขอย่างนี้ ก็รักษาศีล 10 ซึ่งเป็นคฤหัสถ์ เป็นของคฤหัสถ์ แบบไม่มีใครห้าม ก็จะได้รับความสุขมากขึ้น
เพราะฉะนั้น เรื่องปัจจุบันนั้นเป็นสำคัญ ต้องพิจารณาให้แน่นอน ว่าเป็นความเสื่อม หรือความเจริญ ถ้าหากเห็นชัดแน่ว่า ปัจจุบันทำอย่างนี้ ประพฤติอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ จะเป็นความสุข เป็นความเจริญแก่เรา ก็พึงทำปัจจุบันให้ยิ่งขึ้น ท่านสอนอย่างนี้
ต่อไปก็สอนให้รู้ว่า อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ โก ชญฺญา มรณํ สุเว พึงรีบทำความเพียรเสียในวันนี้ ใครจะรู้ว่า ความตายจะมาในวันพรุ่งนี้ ในขณะที่เราท่านทั้งหลาย ยังนั่งได้ พูดได้ คุยได้ เดินได้นี้ เรียกว่ายังมีความสามารถอยู่ แต่ไม่แน่ว่า เราจะอยู่ได้อีกกี่วันกี่เดือน...ขอให้ญาติโยมทุกท่านทุกคนระลึกไว้เสมอๆ ว่า ความตายเป็นของเรา เกิดมาพร้อมกับความตาย ถ้าหากไม่มีเกิด ก็ไม่มีตาย ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย แต่เพราะเกิดขึ้นมา จึงมีแก่ มีเจ็บ และมีตาย หรือควรจำง่ายๆ ไว้ทั้งสองว่า ตายกับเกิดเป็นมาด้วยกัน เราต้องตายแน่ๆ เราหนีตายไม่พ้น บางคนเขาก็พูดขึ้นว่า ก็จะตายอยู่แล้ว จะทำความดีไปทำไม ตายก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ความดีนี้ ให้ผลเป็นสุข ทั้งในปัจจุบันนี้และภายหน้า ส่วนความชั่วความเลวนั้น ให้ผลเป็นทุกข์ ทั้งปัจจุบันนี้และภายหน้า...
...ขอให้ญาติโยมทำความเข้าใจว่า เรามีชีวิตอยู่ ถึงจะต้องตายในวันนี้ พรุ่งนี้ก็ตาม แต่เราก็จะต้องตั้งใจทำความดีต่อไป เพราะความดีที่เราประพฤติปฏิบัตินั้น จะติดตามไปให้ความสุขแก่เราทั้งปัจจุบันนี้และในภายภาคหน้า
เพราะฉะนั้น ในบทสรุปของภัทเทกรัตตสูตร ท่านว่า ตํ เว ภทฺเทกรตฺโตติ สนฺโต อาจิกฺขเต มุนิ พระมุนีผู้สงบ หรือผู้แสวงหาคุณผู้สงบ ย่อมกล่าวว่า ผู้รู้ ผู้ประพฤติอย่างนี้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้เห็นราตรีอันเจริญ เพราะฉะนั้น ขอยุติเทศนาไว้เพียงนี้
เทศนาบรรหารวิสัชนาพระธรรมเทศนา พอสมควรแก่เวลา ขอยุติพระธรรม-เทศนาแต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้


