posttoday

ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ไม่ใช่แค่คุณที่ชอบมองฟ้า

22 ธันวาคม 2555

เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจากวิทยาศาสตร์ โดยนักวิชาการด้านโลหะวิทยาที่หลงรักมวลเมฆ

เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจากวิทยาศาสตร์ โดยนักวิชาการด้านโลหะวิทยาที่หลงรักมวลเมฆ

โดย...กาญจน์ อายุ

เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจากวิทยาศาสตร์ โดยนักวิชาการด้านโลหะวิทยาที่หลงรักมวลเมฆ

“ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ” นักวิชาการด้านโลหะวิทยา นักเขียนเจ้าของผลงานด้านลม ฟ้า อากาศ กว่า 30 เล่ม คอลัมนิสต์นิตยสารและหนังสือพิมพ์ และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์และเฟซบุ๊ก Cloud Lover Club (ชมรมคนรักมวลเมฆ) เขาเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด

เรื่องมันมีอยู่ว่า...

เรื่องคนรักมวลเมฆ

ดร.บัญชา เริ่มโพสต์รูปเมฆในเว็บบล็อก (Web Blog) ส่วนตัว ด้วยความตั้งใจที่อยากเผยแพร่ภาพความสวยงามของธรรมชาติ เพราะตลอดเวลาที่ทำมาเขาเป็นนักเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับลม ฟ้า อากาศ และวิทยาศาสตร์ทั่วไป ที่พูดถึงแต่ด้านร้าย เช่น คำอธิบายพายุฤดูร้อน ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว แต่ไม่มีโอกาสพูดถึงความสวยงามของมัน เขาจึงเปิดเว็บบล็อก “ชายผู้หลงรักมวลเมฆ” โพสต์ภาพก้อนเมฆสวยๆ และให้ความรู้ทางวิทยาศาตร์เป็นคำอธิบาย

เมื่อรูปถูกนำขึ้นโลกออนไลน์ คนที่มีความสนใจเรื่องเดียวกันจึงเข้ามา “พอคนอื่นเห็น สิ่งแรกที่เขาแปลกใจ คือ เมฆมีชื่อด้วยหรอ” ดร.บัญชา กล่าว “และผมจะเจอบ่อยมากกับคำพูด ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีคนชอบท้องฟ้าเหมือนเรา” ถ้าใครคิดเช่นนี้อยู่คงกำลังขำตัวเอง

“คนที่ชอบมองท้องฟ้าจะดูเหมือนคนเพ้อฝัน” บางคนขำนักขึ้น แต่สิ่งที่ ดร.บัญชา ทำในเว็บบล็อกไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันแม้แต่น้อย เพราะเขากำลังทำให้คนที่ชอบมองเมฆมองเห็นความรู้ มองเห็นวิทยาศาสตร์และมองเห็นจินตนาการ

และเมื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กมีบทบาทมากขึ้น ดร.บัญชา ได้เปลี่ยนจากเว็บบล็อกมาตั้งเป็น “ชมรมคนรักมวลเมฆ” บนเฟซบุ๊กซึ่งมีทั้งแบบ Groups (www.facebook.com/groups/cloudloverclub.com) และ Fanpage (www.facebook.com/cloudloverclub.com) ทั้งสองแบบได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว โดยใน Groups มีราวๆ 8,500 คน ส่วน Fanpage มีถึง 1 หมื่นกว่าคน ในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง

สมาชิกชมรมคนรักมวลเมฆ เป็นการรวมตัวกันของคน “หยิ่ง” ชอบเชิดมองเมฆอยู่ตลอดเวลา พอใครเห็นเมฆแปลกๆ สวยๆ ก็จะนำมาแชร์กัน โดยในเฟซบุ๊กจะมีรูปเมฆใหม่ๆ อัพโหลดขึ้นทุกชั่วโมงหรือตกวันละ 200-300 ภาพ

ในช่วงแรก ดร.บัญชา จะเป็นคนให้ข้อมูลเรื่องชื่อเมฆ ปรากฏการณ์ที่เกิดจากเมฆ หรือที่มาที่ไปของการเกิดเมฆ เมื่อเจ้าของภาพทราบแล้วจะจดจำและเป็นคนให้ข้อมูลแก่บุคคลถัดไป “ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่คนธรรมดาสามารถเรียกชื่อวิทยาศาสตร์ของเมฆได้ ซึ่งตอนนี้มีคนในชมรมกว่า 100 คนที่เรียกได้และเข้าใจด้วย” ดร.บัญชา กล่าว

เรื่องเมฆ

เมฆมีจุดเด่นตรง “ดูได้ทุกที่” ไม่เหมือนคนชอบดูนกดูผีเสื้อที่ต้องไปดูตามแหล่ง ดังนั้นทั้งคนเมืองคนชนบทก็สามารถมีความสุขกับเมฆได้เหมือนกัน และหากใครเข้าใจเรื่องเมฆด้วยแล้ว คนนั้นจะเห็นปรากฏการณ์ในเมฆด้วย

ดร.บัญชา กล่าวว่า เมฆสามารถบอกสภาพอากาศ เขายกตัวอย่าง “ที่เรารู้กัน คือ ถ้าเมฆสีดำๆ ฝนจะตก มีฟ้าร้อง แต่หากเรารู้มากไปอีกว่า ถ้าเมฆมีสีเขียวนิดๆ มักจะมีลูกเห็บตก และถ้าบนเมฆมีหัวจุกเหมือนผมเด็กผูกจุก จะมีฟ้าผ่ารุนแรงและอาจมีลูกเห็บขนาดใหญ่”

ลักษณะเมฆสามารถบอกลักษณะภูมิประเทศ “อย่างเมฆจานบินที่จะเกิดใกล้ภูเขา เพราะภูเขาจะเป็นตัวบังคับกระแสลมให้กระเพื่อม และถ้าในกระแสการกระเพื่อมของอากาศขณะนั้นมีปริมาณไอน้ำมากพอและมีอุณหภูมิพอเหมาะจะเกิดเมฆจานบิน หาชมได้ไม่ยากแถว จ.ระยองและจันทบุรี”

และเมฆเดียวกันเป็นจุดเชื่อมโยงวัฒนธรรมที่ต่างกัน ดร.บัญชาได้เล่าเรื่อง “เมฆเห็ดบด” ให้ฟัง ครั้งนั้นมีคนโพสต์ภาพก้อนเมฆเป็นชั้นๆ ที่เชียงใหม่ จากนั้นมีคนอีสานมาคอมเมนต์ต่อว่า ที่อีสานเรียกว่าเมฆเห็ดบด และเชื่อว่า หากพบเมฆลักษณะนี้เมื่อใดต้องเข้าป่าแล้วจะเก็บเห็ดได้ นี่เป็นความเชื่อในภาคอีสานแต่ถ้าคิดแบบวิทยาศาสตร์ก็มีเหตุและผลที่เป็นไปได้

ดร.บัญชา อธิบาย “เพราะถ้าท้องฟ้ามีเมฆมากเช่นนี้ ก็แสดงว่าบริเวณนั้นมีความชื้นมาก และเห็ดก็ขึ้นในที่ชื้น ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่เมื่อพบเมฆเห็ดบดจะพบเห็ดเช่นกัน”

เรื่องมันยังไม่จบ เพราะคนใต้เรียกเมฆลักษณะนี้ว่า “แก๊ดฝ่า” หรือเรียกเป็นภาษากลางว่า “เกล็ดฟ้า” และยังใช้เป็นคำแสลงเรียกผมเด็กที่ขึ้นเป็นหย่อมๆ ว่า หัวแก๊ดฝ่าด้วย

“มันเป็นเสน่ห์ของชมรม” ดร.บัญชา กล่าว “ความรู้มันขยายได้เรื่อยๆ เชื่อมโยงความรู้ได้เสมอ” เช่นเดียวกับคนในชมรมคนรักมวลเมฆที่เชื่อมโยงสามสิ่งเข้าด้วยกัน “แก่นวิทยาศาสตร์ ความรื่นรมย์เพลิดเพลิน และมิตรภาพ”

เรื่องเมฆกับโลกร้อน

ดร.บัญชา พูดถึงปรากฏการณ์ “เมฆกับโลกร้อน” กับความจริงที่ว่า “เมฆเป็นตัวเก็บกักและสะท้อนความร้อน”

ดร.บัญชา อธิบายว่า เมฆก้อนใหญ่ที่แผ่กว้างจะทำให้โลกเย็นลงเพราะมันสะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์บางส่วน และช่วยกันความร้อน แสงและรังสีจากดวงอาทิตย์ แต่ถ้าเป็นเมฆฝอยๆ ที่เรียกว่าเมฆซีร์รัส (Cirrus) จะทำให้โลกอุ่นขึ้น เพราะมันจะเก็บกักความร้อนและสะท้อนความร้อนที่พื้นดินคลายขึ้นไปกลับลงมา

ดังนั้นแล้ว เมฆประเภทใดทำมากกว่ากันยังเป็นคำถามที่ต้องวิจัย

ซึ่งเมื่อประมาณ 5 เดือนที่แล้ว องค์การนาซา (NASA) จะเข้ามาทำการวิจัยเมฆในประเทศไทย แต่ถูกปฏิเสธกลับไปจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่มีองค์การระดับโลกมาช่วยวิจัยเรื่องนี้

พื้นที่กว้างสีฟ้าของคนรักมวลเมฆเปลี่ยนไป กลายเป็นพื้นที่แห่งจินตนาการและความรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด และยังเป็นผู้ที่มีวิธีการเดินเปลี่ยนไป เพราะไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน สิ่งแรกที่เขาจะมองมิใช่พื้นดิน แต่คือ “ก้อนเมฆ”

 

 


 

 

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2