สรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง

โดย...อินทรชัย พาณิชกุล

สรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง

Cloud Atlas หยุดโลกข้ามเวลา

ประเทศ สหรัฐอเมริกา

ประเภท ดรามา / ไซไฟ

เรตติ้ง น.18+ (เหมาะสำหรับผู้ชมที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป)

ความยาว 172 นาที

กำกับ ทอม ไทเควอร์ แอนดีลานา วาโชว์สกี

นำแสดง ทอม แฮงก์ส ฮัลลี แบร์รี จิม สเตอร์เจส จิม บรอดเบนท์ ซูซาน ซาแรนดอน ฮิวจ์ แกรนท์ และฮิวโก้ วีฟวิง

ได้ยินแค่ชื่อลานา และแอนดี วาโชว์สกี สองพี่น้องผู้ปลุกปั้นหนังไตรภาคชื่อดังอย่าง The Matrix จนลือลั่นสนั่นโลก จับมือกับผู้กำกับอินดี้เจ้าของผลงานเรื่องเยี่ยม Run Lola Run ก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดให้ควักเงินซื้อตั๋วเข้าชม

ยิ่งได้รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากนิยายชื่อเดียวกันว่า Cloud Atlas ผลงานเบสเซลเลอร์ของนักเขียนเมืองผู้ดี เดวิด มิทเชล ก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่

 

ท้ายสุด เมื่อเห็นรายชื่อนักแสดงระดับคุณภาพ นำขบวนโดย ทอม แฮงก์ส ฮัลลี แบร์รี จิม บรอดเบนท์ ซูซาน ซาแรนดอน ฮิวโก้ วีฟวิง จิม สเตอร์เจส ดูนา เบย์ เบน วิสชอว์ เจมส์ ดิ อาร์ซี คีธ เดวิด และ ฮิวจ์ แกรนต์ ซึ่งล้วนฝากฝีมือไว้อย่างน่าจดจำในหนังหลายเรื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งหมดชี้ชัดแล้วว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

Cloud Atlas หรือชื่อไทย หยุดโลกข้ามเวลา (ขณะที่นิยายฉบับแปลโดย จุฑามาศ แอนเนียน สำนักพิมพ์มติชน ใช้ชื่อสละสลวยกว่าว่าเมฆาสัญจร) ถ่ายทอดการกลับชาติมาเกิดในภพต่างๆ หากแต่ยังคงสถิตอยู่ด้วยดวงวิญญาณเดิมของคนกลุ่มหนึ่ง แบ่งออกเป็น 6 เรื่องราวล้ำจินตนาการที่กินเวลาหลายศตววรษ

เรื่องดำเนินมาตั้งแต่อดีตจนถึงอนาคตอันไกลโพ้น เริ่มที่ช่วงกลางของศตวรรษที่ 18 ผ่านบันทึกการเดินทางในเรือเดินทะเลผ่านหมู่เกาะทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกของ อดัม อีวิง (จิม สเตอร์เจส) ซึ่งกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในเวลาต่อมาให้กับนักประพันธ์หนุ่มผู้มากพรสวรรค์ชาวอังกฤษนาม โรเบิร์ต โฟรบิเชอร์ (เบน วิสชอว์) สามารถประพันธ์เพลงอมตะชื่อ Cloud Atlas Sextet ออกมาได้ในปี ค.ศ. 1936

บทเพลงนี้เป็นกำลังใจให้ หลุยซา เรย์ (ฮัลลี แบร์รี) นักข่าวสาวจากซาน ฟรานซิสโก ที่ต้องการเปิดโปงความฉ้อฉลเบื้องหลังของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ในยุคสงครามเย็นปี ค.ศ. 1973 ต่อมาจนกลายเป็นแรงผลักดันให้ ทิโมธี คาเวนดิช (จิม บรอดเบนท์) บรรณาธิการสำนักพิมพ์วัยชราตกอับ ได้เขียนเรื่องราววิบากกรรมในชีวิตเขาที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหลบหนีออกจากบ้านพักคนชรา

จวบถึงปี ค.ศ. 2012 เรื่องวิบากกรรมของชายชราถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ที่มนุษย์สังเคราะห์สาวซอนมี451 (ดูนา เบย์) มีโอกาสได้ชม และกระตุ้นให้เธอลุกขึ้นมาประกาศอิสรภาพในโลกอนาคตปี ค.ศ. 2144

สุดท้าย อุดมการณ์ในการปลดแอกของซอนมี451 เป็นสิ่งที่ผู้คนในโลกอนาคต อันเป็นยุคสูญสิ้นอารยธรรม ต่างยึดถือเป็นที่พึ่งทางใจราวกับเทพเจ้าองค์หนึ่ง ท้ายที่สุดจึงเป็นที่มาของเรื่องเล่าข้างกองไฟเกี่ยวกับการล่มสลายของอารยธรรมมนุษย์ ผ่านปากคำของผู้เฒ่านามว่า แซคคารี (ทอม แฮงก์ส) ในอีกสามร้อยปีข้างหน้า

กล่าวให้รวบรัด เรื่องนี้เล่าเรื่องใหญ่หนึ่งเรื่อง แต่แบ่งย่อยซอยยิบลงไปอีก 6 เรื่อง คล้ายวงกลมซ้อนกัน แต่ละเรื่องใช้วิธีการเล่าสั้นกระชับ เทคนิคตัดต่อขั้นเทพที่สลับไปมาภายใต้จังหวะเข้มข้นกระตุกใจ ชวนให้ติดตาม

ตัวละครหลักนับสิบตัวต่างใช้นักแสดงนำได้คุ้มค่ามากๆ คนหนึ่งเหมาคนละ 23 บทบาทเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะป๋าทอม แฮงก์ส กับป๋าฮิวโก้ วีฟวิง ที่เหมาคนเดียวถึง 4 บท ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง ด้วยฝีมือระดับออสการ์ โกลเดนโกลบ รวมถึงรางวัลทางการแสดงเวทีต่างๆ ของแต่ละท่าน การันตีได้ว่าเอาอยู่หมัด อีกเรื่องที่ต้องขอชมคือ ฝ่ายดูแลเสื้อผ้าหน้าผม เครื่องแต่งกาย โปรดักชันดีไซน์ที่คงเหนื่อยพอดูกับการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามแต่ละยุคสมัย

ว่ากันว่า Cloud Atlas ต้นฉบับนิยาย ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจมาจากความเชื่อของชาวเอเชีย ทั้งเรื่องเวียนว่ายตายเกิด รวมทั้งคำสอนจากพุทธศาสนาที่ว่าด้วยเรื่องของอิทัปปัจจยตา กล่าวถึงความเกี่ยวเนื่องของเหตุและผล (เมื่อมีเหตุย่อมมีผล สิ่งนี้มีสิ่งนั้นจึงมี สิ่งนี้ดับสิ่งนั้นจึงดับไป) ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งการก่อเกิด การดำรงอยู่ และการเสื่อมสลาย อันเป็นสัจธรรมของสรรพสิ่งในจักรวาล

สอดคล้องกับแนวคิดการทำงานของสองพี่น้องวาโชว์สกี ที่หลงใหลในเรื่องของอภิปรัชญาอันปรากฏเด่นชัดในภาพยนตร์ The Matrix ทั้งสามภาค

ทั้งหมดจึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ผู้ชมต้องใจจดใจจ่อ ขบคิดวิเคราะห์ตามอย่างลึกซึ้ง เพราะมีมากมายหลายประเด็นให้ปะติดปะต่อกันเป็นหลักใหญ่ใจความ กว่าจะเข้าใจ ซาบซึ้ง เพลิดเพลินจนจบเรื่อง (ความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง) เล่นเอาหัวสมองหนักอึ้งสุดๆ

ดูไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความเข้าใจ