พันธุ์ไม้ถิ่นแอฟริกาใต้ในเมืองไทย (1)
ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม
ม.ล.จารุพันธ์ ทองแถม
หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนไทยซึ่งเคยไปท่องแดนแอฟริกาใต้จะนำเอาพันธุ์พืชจากที่นั่นกลับมาทดลองปลูกในประเทศไทย พันธุ์ไม้หลากชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม้ดอกถูกนำเข้ามาปลูกกันนานหลายสิบปีแล้ว จนบางครั้งเราแทบไม่ทราบที่มาที่ไปของพืชเหล่านั้น เหตุผลประการหนึ่งที่มีไม้แอฟริกาใต้อยู่ในเมืองไทยจำนวนมาก ก็เพราะแอฟริกาใต้นั้นเป็นเสมือนบ้านของอาณาจักรไม้ดอกอันสมบูรณ์และหลากหลายเป็นที่สุดของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเคพตะวันตก (Western Cape) นั้นมีชื่อเสียงเป็นสุดยอดแล้ว ถิ่นไม้ดอกที่มีความหลากหลาย คนแอฟริกาเรียกที่นั่นว่าฟินโบส (Fynbos) นับเป็นเขตที่มีเนื้อที่น้อยนิดเพียง 0.04% ของผิวโลก แต่กลับเป็นอาณาจักรไม้ดอกที่มั่งคั่งสมบูรณ์ที่สุดของดาวเคราะห์ดวงนี้
เหตุผลอีกประการที่มีพันธุ์ไม้ถิ่นแอฟริกาใต้มากมายในเมืองไทย ก็เพราะความสามารถในการปรับตัวของพันธุ์พืชแอฟริกาใต้เหล่านั้น ให้เข้ากับสภาพอากาศแบบร้อนชื้นสลับแล้งของไทยได้ แม้บางโซนจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ตัวอย่างเช่นภาคใต้ ซึ่งมีปริมาณฝนสูงและแม้จะมีช่วงแห้งแล้งบ้าง แต่ไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังขาดสภาพความหนาวเย็นในช่วงกลางคืน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของภูมิอากาศแบบแอฟริกาใต้ ผู้เขียนจะกล่าวถึงไม้แอฟริกาใต้ที่โดดเด่นและเข้ามาอยู่เมืองไทยนานพอจนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ส่วนพันธุ์ไม้ใหม่ๆ ซึ่งมีผู้สั่งเมล็ดหรือต้นพันธุ์เข้ามาปลูกกันในระยะหลังจะยังไม่กล่าวถึงในขณะนี้
ไม้ยืนต้น (Tree)
การปลูกไม้ยืนต้นถิ่นแอฟริกาในเมืองไทย ห้เป็นผลสำเร็จ ควรศึกษาดูความต้องการของต้นไม้แต่ละอย่าง ดูความสูงของมัน ดูความกว้างทรงพุ่ม เพื่อหาที่ปลูกให้เหมาะสม รวมทั้งดูความสามารถในการเติบโตของราก เพราะเพื่อให้ต้นไม้ของเราเติบโตได้ขนาดที่สมบูรณ์ ต้นไม้ต้องการเนื้อที่ปลูก และทิศทางแสงแดดที่ถูกต้องอีกด้วย
ขนาดของหลุมปลูกไม่ควรต่ำกว่า 50 ซม. แยกหน้าดินและดินล่างออกจากกัน ผสมปุ๋ยหมักเข้ากับหน้าดินและนำลงรองที่ก้นหลุม จากนั้นใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 151515 (NPK) ลงไป หรือจะใช้ปุ๋ยซูเปอร์ฟอสเฟตจำนวน 1 กก. ลงไปที่ก้นหลุม คลุกเคล้าให้ดี ก่อนปลูกต้นไม้ลงไปและกลบด้วยดินจากชั้นล่าง รดน้ำให้ชุ่มหลังปลูก ปักหลักทแยงมุมป้องกันลมพัดต้นโยก การทำคันพูนดินเป็นวงกลมรอบหลุมปลูกเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อเก็บน้ำที่รดให้ไหลลงสู่หลุมปลูก หากอยู่ในช่วงแห้งแล้วควรคลุมโคนต้นด้วยหญ้าแห้งหรือฟางข้าว (หากมี)
สกุลและชนิดต้นไม้จากแอฟริกาใต้
สกุลกระถิน (Acacia) วงศ์ Fabaceae วงศ์ย่อย Mimosoideae acacia spp.
กระถินจากแอฟริกาที่ปลูกได้ในเมืองไทยมีหลายชนิด ส่วนใหญ่มีเรือนยอดกลม มักเป็นไม้ไม่ผลัดใบ ดอกเป็นช่อกลม สีเหลืองกลิ่นหอม มักมีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ลักษณะเด่นของไม้ในสกุลนี้คือมีใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ออกดอกในฤดูร้อน ดอกดกดูสวยงาม ทั้งใบและฝักเป็นอาหารสัตว์หลายชนิด ให้ทั้งน้ำต้อยและเรณูแก่ผึ้ง จนเรียกกันว่าต้นผึ้ง (Bee tree) และเนื้อไม้เผาถ่านหรือทำฟืนได้ดี เป็นพืชวงศ์ถั่วจึงปลูกบำรุงดินและทนแห้งแล้งได้ดีมาก ชนิดที่น่าปลูกได้แก่ Acacia darroo, A. xanthophloea, A.sieberiana var. woodii และ A.xanthophloea เป็นต้น
สกุลดอมบียา (Dombeya)
เราปลูกดอมบียากันมานานนับสิบกว่าปีแล้ว โดยปลูกที่ดอยอินทนนท์บริเวณดอยผาตั้ง ในเขตทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะของโครงการหลวง นอกจากนี้ ยังปลูกในบริเวณบ้านพักของเจ้าหน้าที่ในดอยผาตั้งระดับ 1,400 ม. จากระดับน้ำทะเล
Dombeya rotundifolia วงศ์ Sterculiaceae
เราเรียกชื่อดอมบียาชนิดนี้ว่า Wild pear นับเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบที่มีใบกลม ขอบใบมีรอยหยัก ต้นสูง 56 ม. แผ่เรือนยอด ช่อดอก สีขาวชมพู
สกุลปรงเคพ (Encephalartos altensteinii) วงศ์ Zamiaceae
มีปลูกเป็นไม้กระถางในประเทศไทยนานแล้ว ไม่ทราบผู้นำเข้าคนแรก
ต้นไส้กรอก (Sausage tree) : Kigelia Africana วงศ์ Bignoniaceae
ต้นไส้กรอกมีลักษณะโดดเด่นเพราะมีกิ่งก้านลำต้นสีเทาอมน้ำตาล กิ่งคดบิดงอคล้ายบอนไซ ทนแห้งแล้งได้ดี มีผู้นำเข้ามาปลูกตามบริเวณหน้าบ้านในกรุงเทพฯ เมื่อ 20 ปีมาแล้ว ดอกสีแดงเข้มขนาดใหญ่ ติดผลรูปทรงคล้ายไส้กรอกขนาดยักษ์ห้อยลง โดยผลติดกับก้านยาว ถิ่นเดิมมาจากตอนเหนือของทรานสวาลด์ แต่มีปลูกทั่วไปในแอฟริกาใต้ โดยให้เรือนยอดแบนแผ่กว้างให้ร่มเงาดี ใบประกอบมีใบย่อย 35 คู่ และมีใบที่ส่วนปลายเป็นใบเดี่ยว ใบยาวประมาณ 30 ซม. ผลต้นไส้กรอกนี้อาจมีน้ำหนักถึง 4 กก. ภายในมีเมล็ดมากมาย
ต้นแอฟริกันทิวลิป (African – flame tree) : spathodea companutata วงศ์ Bignoniaceae
แอฟริกันทิวลิปให้ดอกเป็นช่อใหญ่สีแดงอมส้มสะดุดตาในบริเวณปลายกิ่ง ยอดเป็นพุ่มสีเขียวสดทรงกลม นับเป็นไม้ต้นให้ดอกสะดุดตาที่สุดชนิดหนึ่งในแอฟริกาใต้ ต้นไม้ชนิดนี้เข้ามาเมืองไทยนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยปลูกกันทั่วไปในทุกภาคของประเทศ
ปักษาสวรรค์ดอกขาว (Natal wild banana : Strelitzia Nicolai) วงศ์ Strelitziaceae
มีปลูกในประเทศไทยนานตั้งแต่สมัยต้นกรุงเทพฯ แล้ว พบคู่กับปักษาสวรรค์ดอกสีส้ม (S.reginae) นับเป็นพืชกึ่งเขตร้อนที่พบในชายฝั่งทะเลในเขตนาตาล (Natal) และในเคพตะวันออก ต้นอาจสูงถึง 6 ม. ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อจากต้นแม่ ชอบอากาศหนาวเย็น ปลูกได้ดีบนยอดดอยระดับ 1,000 ม. แต่อาจปลูกได้ในที่ราบของภาคกลางและภาคใต้เช่นกัน
สกุลทองหลาง Erythrina lysistemon วงศ์ Fabaceae
ต้นทองหลางแอฟริกาที่เข้ามาสู่ประเทศไทยมีหลายชนิด แต่มักมีลักษณะต้นใบและดอกคล้ายๆ กัน เช่น E.caffra ซึ่งขยายพันธุ์ได้ง่ายโดยเมล็ดและกิ่งปักชำ พืชสกุลนี้ให้ช่อดอกสีแดงสดจัดจ้า แต่มีข้อเสียที่อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ควรตัดแต่งกิ่งบังคับทรงพุ่มให้เตี้ยแจ้ เพื่อจะฉีดยาคุมเพลี้ยแป้งให้ได้ บนกิ่งอาจปลูกบรอมีเลียดสกุลทิลแอนเซียได้สวยงาม ทองหลางอาจทิ้งใบในฤดูร้อน ใบที่ร่วงหล่นเป็นปุ๋ยอย่างดี การขยายพันธุ์ทำได้ง่าย โดยตัดกิ่งแก่ปักลงไปในดินก็จะออกรากได้เลย ดังนั้นจึงควรขยายกิ่งตัดปักในช่วงฤดูฝน


