อนาคตสดใสของเสือโคร่งไทย
รอยตีนแบบอุ้งของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ ปรากฏเด่นชัดบนผืนทรายบริเวณเส้นทางด่านสัตว์ กลางป่าห้วยขาแข้ง สร้างความตื่นเต้นแก่ผู้ได้พบเห็นยิ่งนัก
รอยตีนแบบอุ้งของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ ปรากฏเด่นชัดบนผืนทรายบริเวณเส้นทางด่านสัตว์ กลางป่าห้วยขาแข้ง สร้างความตื่นเต้นแก่ผู้ได้พบเห็นยิ่งนัก
มันเป็นรอยตีนเสือโคร่ง !!!
การพบรอยตีนเสือโคร่งในป่าเมืองไทยไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง ทั้งยังถือเป็นเรื่องน่าชื่นใจ
นั่นก็เพราะว่าการดำรงอยู่ของสัตว์ป่าหายากชนิดนี้ที่นับวันยิ่งใกล้จะสูญพันธุ์ สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมในผืนป่าแห่งนั้นได้เป็นอย่างดี
ในวันที่จำนวนเสือโคร่งลดลงอย่างฮวบฮาบน่าใจหาย เนื่องจากถูกล่าเพื่อเอาชิ้นส่วนต่างๆ ทั้งกะโหลก ลูกนัยน์ตา เขี้ยวแหลมคม อุ้งตีน หนังลายพาดกลอน แม้กระทั่งอวัยวะเพศ เพื่อไปทำยาและประดับบารมี
ปัจจุบันมีรายงานจากไซเตส (CITES) ว่าทั่วโลกเหลือเสือโคร่งอาศัยอยู่ในธรรมชาติราว 3,000 ตัวเท่านั้น
กลับมาที่บ้านเรา ข้อมูลจากหนังสือ Mammals of Thailand ระบุว่าในอดีตมีเสือโคร่งกระจัดกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ของไทย แต่ทุกวันนี้พบว่าประชากรเสือโคร่งกลุ่มใหญ่ที่สุดอาศัยอยู่ในผืนป่าตะวันตก ครอบคลุมพื้นที่ 18,727 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยพื้นที่อนุรักษ์ 17 แห่ง ซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 6 แห่ง คือ ทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตกและตะวันออก ห้วยขาแข้ง เขาสนามเพรียง อุ้มผาง และสลักพระ
อุทยานแห่งชาติ 11 แห่ง ได้แก่ คลองลาน แม่วงก์ คลองวังเจ้า เขื่อนศรีนครินทร์ เฉลิมรัตนโกสินทร์ พุเตย เอราวัณ ไทรโยค เขาแหลม ลำคลองงู และทองผาภูมิ
“ตั้งแต่ปี 2553 สำรวจพบว่ามีเสือโคร่งอาศัยอยู่ในธรรมชาติทั้งหมดประมาณ 200 ตัว ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเขมรก็ไม่มีให้เห็นแล้ว พม่าเองก็เหลือน้อยเต็มทน
กว่า 90% เป็นเสือโคร่งพันธุ์อินโดจีน ส่วนน้อยคือเสือโคร่งมลายู อาศัยอยู่ทางใต้คอคอดกระจรดมาเลเซีย ประชากรเสือจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงด้านต่างๆ ทั้งการล่าและการรุกรานแหล่งที่อยู่อาศัยจากมนุษย์”
เป็นคำบอกเล่าของ ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ซิ้มเจริญ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 (นครสวรรค์) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ในฐานะนักวิจัยโครงการติดตามประชากรและนิเวศวิทยาของเสือโคร่งในประเทศไทย ดร.ศักดิ์สิทธิ์ เผยว่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเป็นแหล่งที่มีปริมาณเสือโคร่งหนาแน่นที่สุดถึง 60 ตัว
เสือโคร่งขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยจับได้ที่นี่ น้ำหนัก 209 กิโลกรัม ลำตัวยาว 1.89 เมตร
“ที่น่าเป็นห่วงที่สุดขณะนี้ คือผืนป่าลดลงทุกปีๆ จากการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ชาวบ้านรุกล้ำทำเป็นที่ดินทำกิน เมื่อป่าถูกรุกรานสัตว์ป่าก็พลอยถูกล่าไปด้วย เหยื่อสำคัญของเสือโคร่งไม่ว่าวัวแดง ควายป่า หมูป่า กวาง เหลือน้อยลงทุกที สอดคล้องกับข้อมูลศึกษาที่ประเทศอินเดีย พบว่าเสือโคร่งหนึ่งตัวต้องการเหยื่อขนาดกวางป่า (150 กก.) เพื่อเป็นอาหารถึงปีละ 4550 ตัว
นานนับ 10 ปีที่ ดร.ศักดิ์สิทธิ์และคณะผู้ร่วมวิจัยนิเวศวิทยาเสือโคร่ง สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ออกลาดตระเวนไปในป่าลึก ขึ้นเขาลงห้วย สืบเสาะติดตามรอย เพื่อเก็บข้อมูลนับจำนวนเสือโคร่ง พร้อมเครื่องมือสำคัญ ตั้งแต่ติดตั้งกล้องดักถ่ายภาพอัตโนมัติ วางกับดักจับเสือมาติดตั้งปลอกคอวิทยุแบบสัญญาณดาวเทียมจีพีเอส เพื่อวิเคราะห์ขนาดพื้นที่หากิน การล่า การกินอาหาร และการดำรงชีวิตในแต่ละวันอย่างถูกต้องแม่นยำ จนงานวิจัยเรื่องเสือโคร่งของไทยประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับไปทั่วโลก
“เราสามารถป้องกันการสูญพันธุ์ของเสือโคร่งได้ ด้วยการปกป้องผืนป่า ลาดตระเวนอย่างหนักหน่วงเข้มแข็งเพื่อไม่ให้ชาวบ้านบุกรุกมาแปรสภาพเป็นพื้นที่เกษตรกรรม แย่งชิงอาหารของสัตว์ป่า รวมถึงหยุดยั้งการล่าสัตว์กีบ ทำให้เสือหาอาหารได้ยากขึ้น”
วกมาที่ปัญหาเรื่องการล่า เมื่อช่วงต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา เกิดข่าวครึกโครมไปทั่ว หลังชุดตรวจลาดตระเวนป่าที่ได้เข้าปฏิบัติงานในพื้นที่กลางป่าลึกของห้วยขาแข้ง พบซากเสือโคร่งเพศเมียและลูกอ่อนรวม 3 ตัว ถูกพรานใจทมิฬวางยาเบื่อตาย ซ้ำยังถูกถลกหนังเลาะเอากระดูกไปหมด ทิ้งไว้เพียงซากเนื้อที่มีอุ้งเท้าติดอยู่ เป็นภาพน่าอนาถใจแก่ผู้พบเห็น
ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการอนุรักษ์สัตว์ป่าเมืองไทย
ดร.ธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ยืนยันว่า การสูญเสียหรือการถูกล่าแต่ละครั้ง ความเสียหายไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ว่าเสือลดจำนวนลงไปหนึ่งตัว แต่มันหมายถึงโอกาสในการที่จะทำให้ประชากรเสือโคร่งกลับมา หรือเพิ่มมากขึ้นนั้นลดน้อยลงไป
เนื่องจากเสือโคร่งเพศเมียหนึ่งตัวสามารถออกลูกได้ถึง 5 ตัว และเพศผู้หนึ่งตัวสามารถเป็นพ่อพันธุ์ที่ผสมพันธุ์กับเพศเมียได้ 4-5 ตัว ก็เท่ากับว่าสามารถผลิตลูกเสือได้อย่างน้อย 20 ตัวต่อปี
“นอกจากเสือโคร่งที่อยู่ในธรรมชาติกว่า 200 ตัวแล้ว ยังมีเสือที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงและนำเข้าจากต่างประเทศอาศัยอยู่ในสวนสัตว์และกรงขังทั่วไปอีกกว่า 1,300 ตัว ทุกวันนี้ก็ยังพบว่ามีการลักลอบเพาะเลี้ยงและค้าขายอยู่ ซึ่งผิดกฎหมายร้ายแรง ทราบมาว่าเสือโคร่งตัวเป็นๆ มีมูลค่าถึง 1 ล้านบาท ถ้าเป็นซากรวมหนังและโครงกระดูก ก็ตกราว 59 แสนบาท ส่วนลูกเสือตัวเล็กๆ ขายกันประมาณ 2 แสน”
ดร.ธีรภัทร กล่าวถึงแผนฟื้นฟูประชากรเสือโคร่งของไทยว่า ภายใน 10 ปี จะเพิ่มเสือในพื้นที่อนุรักษ์และเขตรอยต่อของป่าให้ได้อีกอย่างน้อย 50% จาก 250 ตัวเพิ่มเป็น 500 ตัว โดยเฉพาะในกลุ่มป่าตะวันตกแถบทุ่งใหญ่นเรศวร ห้วยขาแข้ง จรดเทือกเขาตะนาวศรี แถวแก่งกระจาน ลุ่มน้ำภาชี และกลุ่มป่าดงพญาเย็นเขาใหญ่ ซึ่งพบประชากรเสือโคร่งในธรรมชาติหนาแน่นกว่าป่าอื่นๆ
ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ ช่างภาพสัตว์ป่ามือหนึ่งของไทย บอกว่าที่ใดมีเสือโคร่งย่อมสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าผืนนั้น
“เสือโคร่งต้องการที่ราบอันกว้างใหญ่ มีลำน้ำหล่อเลี้ยง เป็นสัตว์ที่มีพื้นที่ครอบครองเฉพาะตน หวงถิ่น ดังนั้นแหล่งที่อยู่อาศัยและพื้นที่หากินจึงมีอาณาเขตขนาดใหญ่ อาหารหลักของเสือคือสัตว์ใหญ่จำพวกวัวแดง กวาง กระทิง ควายป่า หมูป่า จนถึงมดปลวก หลายแห่งมีสัตว์อุดมสมบูรณ์ที่นั่นต้องมีเสืออาศัยอยู่ หลายแห่งไม่มีสัตว์ใหญ่หลงเหลือแล้ว เป็นธรรมดาที่เสือโคร่งจะต้องอพยพหนีไปหากินในป่าแถบอื่น”
ล่าสุด เพิ่งมีหนังสือชื่อว่า เสือ NOW OR FOREVER ออกสู่สายตาสาธารณชน หนังสือที่รวบรวมข้อมูลเชิงวิชาการและภาพถ่ายหายากของเสือโคร่งในไทยบริเวณผืนป่าห้วยขาแข้งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโก ขนาด 200 หน้า 4 สีสวยงามทั้งเล่ม
เล่าเรื่องจากประสบการณ์จริงของนักวิจัยไทยที่ปฏิบัติงานในสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งศึกษาวิจัยเรื่องเสือโคร่งมานานนับ 10 ปี ฉายภาพบรรยากาศการทำงานในป่าลึก ติดตามเก็บข้อมูลและบันทึกภาพเสือโคร่งและภาพสัตว์ป่าหายากหลายชนิดด้วยความยากลำบาก เรียบเรียงโดย ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ซิ้มเจริญ อัจฉรา ซิ้มเจริญ และสมโภชน์ ดวงจันทราศิริ ฝีมือถ่ายภาพของ ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ ภายใต้การสนับสนุนของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.
นี่คือหนังสือเล่มแรกและเล่มเดียวของไทยที่มีความสมบูรณ์ทั้งด้านเนื้อหาและภาพถ่ายมากที่สุด
แน่นอนว่าการเผชิญหน้ากับเสือโคร่งกลางป่า เป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวอย่างคาดไม่ถึง
แต่ขณะเดียวกันทุกครั้งที่ได้ทราบว่ายังมีเสือโคร่งเพ่นพ่านอาศัยอยู่ในป่าบ้านเรานั้น ก็เป็นเรื่องน่าดีใจ ควรค่าแก่การตระหนักถึงแนวทางอนุรักษ์ไว้
เพื่ออนาคตอันสดใสของเสือโคร่ง ให้อยู่คู่กับผืนป่าเมืองไทยอีกนานเท่านาน


