ปริศนาในงานศพ
คนเราตายด้วยสาเหตุอะไรบ้าง ท่านบอกว่าตายด้วย 3 สาเหตุ คือ 1.ตายเพราะหมดบุญ 2.ตายเพราะหมดกรรม 3.ตายเพราะหมดทั้งบุญทั้งกรรม
คนเราตายด้วยสาเหตุอะไรบ้าง ท่านบอกว่าตายด้วย 3 สาเหตุ คือ 1.ตายเพราะหมดบุญ 2.ตายเพราะหมดกรรม 3.ตายเพราะหมดทั้งบุญทั้งกรรม
โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
คนเราตายด้วยสาเหตุอะไรบ้าง ท่านบอกว่าตายด้วย 3 สาเหตุ คือ 1.ตายเพราะหมดบุญ 2.ตายเพราะหมดกรรม 3.ตายเพราะหมดทั้งบุญทั้งกรรม
1.ตายเพราะหมดบุญ คือ กำลังมีทรัพย์สมบัติอยู่ดีๆ ถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง กินเลี้ยง มีความสุขอยู่ดีๆ กินไปหัวเราะไปขากรรไกรค้าง ตกเก้าอี้ตาย อันนี้ตายตอนมีความสุข บางคนนั่งฟังธรรมอยู่ดีๆ ฟังเพลินปลื้มอกปลื้มใจ เกิดปีติขึ้นมาแล้วตายตอนที่ใจเป็นบุญก็มี บางคนหลบเมียไปเข้าโรงแรมม่านรูดกับกิ๊กไปตายบนหน้าอกเขาก็มี อันนี้เขาเรียกว่า ตายเพราะหมดบุญ
2.ตายเพราะหมดกรรม คือ ตายตอนที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ตายเพราะอุบัติเหตุ ตายเพราะไปเมืองนอกเมืองนา ทำมาค้าขาย ขับรถออกจากบ้านแล้วไปชนเสาไฟฟ้าตาย ไม่ทันรู้ ไม่ทันลา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่กำลังมีทรัพย์สมบัติหรือกำลังขัดสนก็มีเหตุให้มาตาย อันนี้เขาเรียกว่า ตายเพราะหมดกรรม คือ ตายเพราะกรรมตามมาทันแล้วหลบไม่ได้หลบไม่ทัน
3.ตายเพราะหมดทั้งบุญทั้งกรรม คือ ความสุขก็มีอยู่แต่มีกรรมมาตัดรอน บางคนกำลังทำบุญขึ้นบ้านใหม่ บังเอิญเหล้ายาปลาปิ้งไม่พอจึงขับรถออกไปซื้อ แล้วถูกรถชนที่หน้าปากซอยตาย นี้คือบุญมีที่ได้ขึ้นบ้านใหม่แต่กรรมก็ตามมาทัน ยังไม่ได้อยู่บ้านใหม่กลับตายไปก่อน นี่เป็นตัวอย่างของเหตุที่ว่าหมดทั้งบุญและหมดทั้งกรรม
ดังนั้น คนเราตายได้ทุกเมื่อ ทุกลมหายใจเข้าออก ตายเพราะหมดบุญก็มี ตายเพราะหมดกรรมก็มี ตายเพราะหมดทั้งบุญและกรรมก็มี
เมื่อเราไปร่วมงานศพแล้วเราจะได้ปัญญาอะไรบ้าง ประการที่ 1 ขณะเราจุดธูป ทำไมจุดธูปดอกเดียว ธูปดอกเดียวก็หมายถึงว่าเราไปคนเดียว เรามาคนเดียว หมั่นจุดไว้เตือนตัวเองว่า ถึงอย่างไรเราก็ไปคนเดียวมาคนเดียว ไม่ใช่ว่าตอนนี้เราจะตายแล้ว เธอเป็นเพื่อนฉันหน่อยตายด้วยกันนะ รับรองว่าถึงจะรักอย่างไรมันก็ไม่ไป หรือสามีภรรยาที่รักกันที่สุดนั้น เมื่อสามีจะตายแล้วชวนภรรยาตายด้วย ภรรยาก็คงไม่เอา อย่าว่าแต่ชวนกันไปตายเลย นั่งผิงไฟอยู่ดีๆ ถ่านตกลงมาโดนคนทั้งสอง ถึงอย่างไรก็ต้องปัดของตัวเองก่อนนะ มนุษย์เป็นอย่างนี้ ไปเดี่ยวมาเดี่ยว
ฉะนั้น การจุดธูปหนึ่งดอกคือสัญลักษณ์การไปเดี่ยวมาเดี่ยว ต้องฝึกอยู่คนเดียวเสียบ้าง ว่าวันหนึ่งเราจะเป็นเหมือนธูปดอกเดียว เราก็จะอยู่คนเดียวไปคนเดียวมาคนเดียว
ประการที่ 2 เวลาเราภาวนาหน้าศพ อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง ไม่ใช่ภาวนาให้ขลัง แต่ภาวนาให้ได้ปัญญา คือ เราจะตายแน่ๆ ภาวนาเพื่อเตือนสติตัวเอง
ประการที่ 3 คือ นำพวงหรีดมาไว้อาลัย ขอจงไปสู่สุคติ ด้วยรักและอาลัยจากพี่ แปลกนะตอนปกติทำไมไม่พูดอย่างนั้น ตอนที่นั่งอยู่ทำไมไม่พูดหวานๆ บางทีอาตมาก็อ่านดู ขอให้ไปสู่สุคติ ชาติหน้ามีจริงฉันใดขอให้เรามาพบกันอีก ด้วยรักและอาลัยจากพ่อแม่พี่และน้อง ไม่รู้จะหวานทำไมที่หน้าศพ ตอนที่ยังอยู่ด้วยกันกินอิ่มนอนอุ่นทำไมไม่พูดกันดีๆ พูดกันหวานๆ แต่พอตายแล้วกลับสั่งพวงหรีดอย่างดีของแพงๆ ให้มันสมเกียรติ
การไว้อาลัยก็เพื่อบอกว่า ก่อนที่เราจะมากล่าวคำไว้อาลัยหน้าศพ เราท่านทั้งหลายต้องรักกันให้สุดจิตสุดใจก่อน มาอาลัยหน้าศพมันไม่ทันแล้ว พวงหรีดไม่ใช่เอามาเพื่อเป็นเกียรติ เขาให้เอามาเตือนคน ฉะนั้นเวลาวางพวงหรีดเราต้องวางตอนที่เราอยู่ดีมีสุขกิน อิ่มนอนอุ่นด้วยกัน รักกันมากๆ ไปวางอาลัยเอาตอนนั้นมันไม่มีผลอะไรมาก นัยของพวงหรีด คือ ให้อยู่กันด้วยความรัก
เมื่อไปวางพวงหรีดหน้าศพมันก็สายไปเสียแล้ว รักกันไม่ใช่ว่าคนหนึ่งอยู่ในเมรุ คนหนึ่งอยู่หน้าเมรุ แต่ให้รักกันตอนที่เรายังอยู่ดีมีสุข แล้วพอเขาตายเราก็ไม่ต้องไปอาลัยอะไรมาก ปล่อยให้เขาตายไปเถอะ เพราะความตายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ประการที่ 4 ก่อนพิธีฌาปนกิจศพ ก็จะมีพระมาบังสุกุล บังสุกุลมาจากคำว่า ปังสุกุละ แปลว่า ผ้าคลุกขึ้นฝุ่นขี้เถ้า ก็คือผ้าห่อศพ เขาให้พระสี่รูปไปซักผ้าบังสุกุล ไม่ใช่ว่าไปซักเพื่อให้เป็นบุญแก่คนที่ตาย ผ้าบังสุกุลแต่เดิมเขาเอาไว้ห่อศพ พระก็ไปดึงเอาผ้าห่อศพมาซัก มาย้อมทำเป็นจีวรเพื่อเอามานุ่ง บางคนไม่เข้าใจก็คิดว่าเอาไปทำบุญให้ผู้ที่ตายไปแล้ว มันก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่ง คือ ให้ผู้ที่ตายได้ถวายผ้าให้พระ พระไปดึงผ้าบังสุกุลเพื่อที่จะบอกว่า แม้แต่ผ้าที่เอาไว้ห่อศพคุณก็ยังเอาไปด้วยไม่ได้ ต้องคืนให้พระเณร เห็นไหมสมบัติชิ้นสุดท้าย ผ้าห่อศพหรือผ้าบังสุกุล สุดท้ายแล้วพระก็มาดึงเอาไป ฉะนั้นตอนที่เรายังเป็นคนยังพากันกอบโกยโลภโมโทสัน มันจะโลภกันไปถึงไหน ทำไมไม่ไปทำบุญกันบ้าง เห็นไหมหามาแทบล้มแทบตาย สุดท้ายก็ตายไปทิ้งสมบัติทั้งหมด นำติดตัวไปไม่ได้
นี่คือปริศนาธรรมทั้งนั้น ผ้าชิ้นสุดท้าย พระก็ดึงคืนเพื่อที่จะบอกว่า สมบัติที่มีอยู่นั้นเป็นของชาวโลก เรายืมมาใช้ชั่วคราว สุดท้ายก็ต้องคืน สรรพสิ่งเป็นของใช้ไม่ใช่ของฉัน พอเราใช้เสร็จแล้วเราก็ต้องคืนให้โลกนี้
ประการที่ 5 ทำไมต้องเวียนรอบเมรุสามรอบ เวียนรอบเมรุก็เพื่อบอกว่า ถ้าเราได้ล่วงเกินศพด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็ขอจงให้อภัยต่อกัน จะได้ไม่เป็นกรรมเป็นเวรข้ามภพข้ามชาติต่อกันไป
ประการที่ 6 เมื่อเวียนรอบเมรุเสร็จก็นำศพมาวางไว้ที่หน้าเมรุ เพื่อเตรียมการเผา จากนั้นก็เป็นพิธีวางดอกไม้จันทน์ ทำไมต้องวางดอกไม้จันทน์ เพราะเป็นไม้ที่มีกลิ่นหอม ฉะนั้นที่วางดอกไม้จันทน์ก็เพื่อสอนเราว่า เกิดมาเป็นคนทั้งที ขอให้ฝากความดีความงามเอาไว้กับโลก ให้มีกลิ่นหอมฟุ้ง ให้คนรุ่นหลังได้ระลึกนึกถึง อย่าฝากกลิ่นเหม็น บางคนตายไปแล้วก็มีคนไชโยโห่ร้องว่ามันน่าจะตายเร็วกว่านี้ อันนี้เขาเรียกว่าตายเหม็น บางคนตายแล้วก็มีคนร้องไห้ ไว้อาลัยกัน นี้เขาเรียกว่าตายหอม
ไม้จันทน์นั้น หมายถึงว่า ให้บอกคนที่อยู่ข้างหลังว่าก่อนจะตายให้ทำคุณงามความดี เพื่อที่จะได้มีกลิ่นศีล กลิ่นธรรมให้คนรุ่นหลังได้ระลึกนึกถึงเหมือนกลิ่นดอกไม้จันทน์ นี้เป็นปริศนาธรรม
ฉะนั้น ก่อนที่เราท่านทั้งหลายจะตาย ได้ฝากความดีความงามกันไว้บ้างหรือเปล่า หรือว่าความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ อยู่มาก็ตายๆ ไป เหมือนวัวตายควายตาย วัวตายควายตายเนื้อยังเอาไปกินได้ คนตายจะเอาเนื้อมากินก็ไม่ได้ บางคนสะโพกดินระเบิด เมื่อตายแล้วตัดเอาเนื้อสะโพกมากินได้ไหม ก็ไม่ได้
กวีท่านจึงเขียนเอาไว้ว่า
พฤกษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
ถ้าเราไม่ทำคุณงามความดี ตายไปแม้แต่กระดูกเขาก็ยังไม่เก็บ เพื่อนอาตมาญาติตาย ไม่ได้เอากระดูกไว้ เอาแต่รูปไปแขวน พี่น้องยังกลัว เดินไปห้องน้ำผ่านรูปยังตกใจกลัวนะ แต่ตอนที่ยังไม่ตายก็นั่งกินข้าวด้วยกันทุกวัน เอากระดูกใส่โกฏิไปฝากเณรน้อยไว้ เณรยังกลัว ไม่กล้านอนคนเดียว มนุษย์นั้นเป็นอย่างนี้ ไปเทียบกับสิงสาราสัตว์ มนุษย์ยังสู้สัตว์ไม่ได้ ฉะนั้นวัวควายช้างม้านั้นยังมีประโยชน์ แต่มนุษย์เราตายไม่ว่าจะเป็นกระดูก ฟัน เส้นผม อะไรก็ตามที่ติดตัว ไม่มีประโยชน์สักอย่าง ต้องเผาสถานเดียว ถ้าท่านไม่ทำความดีเอาไว้ ชีวิตท่านจะสู้วัวควายได้อย่างไรกัน
เหตุนี้ท่านถึงบอกว่า ให้วางดอกไม้จันทน์ก่อนที่จะเผา เพราะดอกไม้จันทน์เตือนว่า ให้ทำความดี ให้คุณงามความดีนั้นหอมฟุ้งอวดคนรุ่นหลัง ให้คนรุ่นหลังเอาเป็นตัวอย่างได้ แล้วจะเป็นความตายที่สง่างามที่สุด
ประการที่ 7 ก่อนเผาสัปเหร่อก็จะบอกให้ถอยออกไปเพื่อหยิบเงินที่อยู่ในปากออกไปก่อน เห็นไหมสมบัติชิ้นสุดท้ายก็ยังไม่เหลือ หยิบออกมาเพื่อบอกว่า เงินที่อยู่ในปากคงไม่มีใครมาแย่ง เงินที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง เขาก็เอาออกหมดเพื่อเอาไปถวายพระ แล้วมีการโปรยมะนาว บางศพก็โปรยตอนที่เอาศพเข้าสุสาน
เงินนั้นโปรยก็เพื่อที่จะบอกว่า ทรัพย์สินเงินทองที่หามานี้ สุดท้ายมันเป็นโลกิยทรัพย์ คือ เอาไปใช้ในโลกหน้าไม่ได้ ต้องส่งคืนทั้งหมด ฉะนั้นก่อนตายให้เปลี่ยนโลกิยทรัพย์เป็นอริยทรัพย์ คือ ทรัพย์อันประเสริฐ นั่นคือ มีเงินมีทองให้หมั่นเอาไปทำบุญบ้าง เพราะบุญที่เกิดจากการถวายพระนั้นส่งไปถึงชาติหน้า เรามีบุญเราก็ได้ไปเกิดที่ดีๆ ถ้าไม่มีบุญเราก็จะได้ไปเกิดในที่ต่ำ ฉะนั้นเงินทองส่งได้ดีที่สุดส่งได้แค่โรงพยาบาล ลูกหลานส่งได้ดีที่สุดก็แค่ข้างเมรุ ญาติสนิทมิตรสหายส่งได้ดีที่สุดก็แค่หน้าเมรุ แต่บุญกุศลส่งไปถึงโลกหน้า
ท่านทั้งหลายมีเงินมีทองไม่ทำบุญบ้าง ถึงที่สุดก็เอามาโปรยหน้าศพเป็นที่สังเวช ฉะนั้นต้องดูปริศนาให้ออกแล้ว
ประการที่ 8 คือ การจุดไฟเผา ทุกสิ่งทุกอย่างวอดไหม้กลายเป็นขี้เถ้า สะท้อนสัจธรรมว่า ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ สี่คนหาม สามคนแห่ สองคนนั่งแคร่ หนึ่งคนพาไป สี่คนหามคืออะไร คือ ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมกันเป็นตัวเรา สามคนแห่ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน สองคนนั่งแคร่ คือ บุญกับบาปจะพาเราไป หนึ่งคนพาไป คือ จิตที่จะพาเราไป เอาบุญเอาบาปเอาไปเกิดในชาติอื่นอีก
ถ้าเราไม่หมดเวรหมดกรรมก็จะเวียนว่ายตายเกิด สุดท้ายมนุษย์ก็เหลือขี้เถ้าอย่างนี้ ฉะนั้นถ้าเรามางานศพเห็นคนเผาไฟเหลือแต่ขี้เถ้า ถ้าเรามีคุณงามความดี แม้แต่ขี้เถ้าก็จะมีคนมาเก็บเอาไปบรรจุเป็นสถูป บรรจุเป็นพระธาตุ บรรจุเป็นเจดีย์เหมือนสถูปของพระพุทธเจ้า สถูปของพ่อขุนเม็งราย สถูปของพระยางำเมือง สถูปของพระมหากษัตริย์ เป็นต้น
คนดีพอตายก็เก็บกระดูกไว้ในสถูปเอาไว้ไหว้ คนธรรมดาขี้เถ้าไม่มีประโยชน์ก็เอาทิ้งไว้อย่างนั้น ฉะนั้นก่อนตายต้องทำความดีเอาไว้มากๆ ถ้าท่านเป็นคนดีมีประโยชน์ต่อบ้าน ต่อเมือง แม้แต่ขี้เถ้าก็ทิ้งไม่ได้ เหมือนพระพุทธเจ้าของเราเมื่อท่านปรินิพพานไปแล้วก็มีคนมาแย่งขี้เถ้าท่านถึงแปดเมือง ถึงขั้นเกือบรบทัพจับศึก กองทัพทหารของทั้งแปดเมืองมาแย่งขี้เถ้าของพระพุทธเจ้าที่เขาเรียกว่าพระบรมสารีริกธาตุเพื่อเอาไปบรรจุไว้ที่เมืองของตนเอง แต่ปัจจุบันนี้บรรจุไว้ทั่วโลก
ในบรรดาคนสำคัญของโลกที่ตายไปแล้ว ไม่มีใครสำคัญเท่าพระพุทธเจ้า เพราะคนอื่นตายไม่มีใครมาแย่งเอากระดูกไปไหว้ นโปเลียนตายก็อยู่ที่ฝรั่งเศส ฮิตเลอร์ตายก็อยู่ที่เยอรมนี อเล็กซานเดอร์ตายก็อยู่ที่ประเทศกรีซ เห็นไหม พระพุทธเจ้าตายกระดูกกระจายไปทั่วโลก ใครได้กระดูกของพระพุทธเจ้ามาไว้บูชาถือว่าเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง
วันที่พระสงฆ์มาเก็บเอากระดูกก็เพื่อที่จะบอกว่า ถ้าเป็นคนดี กระดูกก็เอาไปไหว้บูชา แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี กระดูกก็นำไปบดทำเป็นบั้งไฟจุดขึ้นฟ้าไป ฉะนั้นท่านทั้งหลายจะเป็นคนแบบไหน จะเป็นคนที่แม้แต่กระดูกก็ควรกราบควรไหว้ หรือเป็นคนที่แม้แต่กระดูกก็ไร้ประโยชน์
นี้คือปริศนาที่เกี่ยวกับงานศพทั้งหมด


