พระทิเบต
โดย...ปู โลกเบี้ยว
โดย...ปู โลกเบี้ยว
ทิเบตหลังคาโลกที่อีกหลายๆ คนคงอยากไปสัมผัส ก็จากที่เล่าให้อ่านนั้นล่ะค่ะ จะอยู่จะกินก็แสนลำบากนอนไม่หลับอึดอัด หายใจไม่สะดวกแสบจมูก หัวใจเต้นแรงงี้ เพราะออกซิเจนมันน้อยจนทำให้ไม่ค่อยมีอารมณ์ในการเที่ยวสักเท่าไหร่ ต้องศรัทธาสุดๆ ถึงจะเอาอยู่ แต่ถ้าใครแข็งแรงและนอนพักผ่อนได้เพียงพอก็ไม่ต้องเป็นห่วงเลยไม่ไร้อารมณ์พะอืดพะอมเวลาเที่ยวแน่ เพราะร่างกายพร้อมไง
ทิเบตสมัยนี้บ้านเมืองเจริญแล้วนะ อารยธรรมเก่าแก่คงมีเฉพาะในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแหละ หลังจากที่ได้ขึ้นไปเที่ยวพระราชวังโปตาลามรดกโลกทางวัฒนธรรมที่สวยงามไปแล้ว สถานที่ต่อไปคือ อย่าง วัดโจคัง ซึ่งเป็นวัดแรกของที่นี่สร้างมาก่อนมรดกโลกอย่างพระราชวังโปตาลา เมื่อสัก 1,400 ปีมาแล้ว เพื่อให้พระมเหสีได้กราบไหว้พระเป็นสถาปัตยกรรมผสมระหว่างทิเบต จีน และอินเดีย เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่เราต้องไปเยือน และต้องไปลองกราบพระแบบทิเบต “อัษฎางคประดิษฐ์” คือ ทุกส่วนต้องสัมผัสกับพื้น กราบไปได้สามครั้งเหนื่อยสุดๆ ชาวบ้านชาวเมืองเขากราบกันเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้วแต่อธิฐานจิตไว้
พระทิเบตที่ปูศรัทธาและอยากแนะนำมีอยู่ 2 องค์ คือ “พระหมอยา Medicine Buddha หรือพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าแห่งการบำบัดรักษา” ท่านจะมีลักษณะการนั่งคล้ายพระพุทธเจ้า แต่กายจะมีสีน้ำเงินและในมือท่านจะถือหม้อปรุงยาหรือโถยาอยู่ในมือ ปูจะสวดเวลาที่ต้องการกำลังใจเมื่อเจ็บป่วยหรือแม้แต่แม่และน้องชายเจ็บป่วยก็จะสวดภาวนา มนตราแบบสั้นๆ “ธยาถะ โอม เบคันเซ เบคันเซ มหาเบคันเซ ระซะ ซามุกาเต โสหะ” จะเป็นประโยชน์มากเลยเมื่อสวดให้แก่ผู้ที่กำลังเจ็บป่วย ผู้ที่เป็นทุกข์จากโรคภัยที่ร้ายแรงหรือผู้ที่ใกล้เสียชีวิต ลองสวดสัก 108 จบนะ
อีกหนึ่งองค์ที่เราจะเห็นอยู่เกือบทุกที่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในทิเบตก็คือ “พระแม่ทารา ทั้งขาวและเขียว พระโพธิสัตว์แห่งการหลุดพ้น” มีเรื่องเล่าว่าท่านคือน้ำตาของเจ้าแม่กวนอิมที่กลายร่างมาช่วยเหลือมนุษย์ เพราะบรรดาชาวโลกทั้งหลายมีทุกข์มากมายเหลือเกิน ท่านเจ้าแม่กวนอิมช่วยไม่ทั่วถึง จึงส่งพระแม่ทารามาปลดปล่อยช่วยเหลือมนุษย์โลกผู้ทุกข์ยากลำบากให้พ้นทุกข์นั่นเอง ท่านจะเปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตาพร้อมที่จะช่วยปลดปล่อยสรรพสัตว์ทั้งหลายจากบ่วงกรรมของชีวิต อย่างในพระราชวังฤดูร้อนสำหรับองค์ดาไลลามะจะแขวนทังก้ารูปพระแม่ทาราขาวไว้เกือบร้อยภาพโดยรอบเลยล่ะ เพื่อให้สมปรารถนาในเรื่องอายุยืนอย่างงี้ พระแม่ทาราเขียวจะมีองค์เป็นสีเขียวมีความเชื่อว่าเป็นตัวแทนจากเนปาล มีนัยน์ตาที่เปิดกว้าง พระแม่ทาราขาวจะมีผิวกายสีขาวนัยน์ตาจะหรี่ลงครึ่งหนึ่งเชื่อว่าเป็นตัวแทนของทางจีน ท่านจะหงายมือข้างขวามาข้างหน้า หมายถึงความกรุณาที่จะช่วยเหลือให้มนุษย์สมหวังในสิ่งที่ร้องขอ มือซ้ายถือดอกบัวเพื่อให้พรและปกป้องคุ้มครอง ท่านจะนั่งในท่าที่เตรียมพร้อมที่จะก้าวลงมาจากบัลลังก์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ เมื่อมีผู้คนสวดมนต์ภาวนาถึงท่าน มนตราสั้นๆ ง่ายๆ ที่ปูสวดเป็นประจำเมื่อต้องการกำลังใจและเพิ่มพลังให้กับตัวเองคือ “โอม ทาเร ทุทาเร ทุเร โสหะ” สวดไปเรื่อยๆ เพื่อขจัดความกลัวและอุปสรรคต่างๆ แล้วปูก็มักจะสมปรารถนาอยู่เสมออ่ะค่ะ แต่ต้องไม่อธิฐานแบบโลภมากจนเกินไปนะคะ
มาที่นี่ได้ความรู้มาอีกอย่างในการสังเกตองค์พระว่าแบบไหนเรียกว่าพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ดูไม่ยากเลย ถ้าเราเห็นพระองค์ไหนที่มีรูปร่างบอบบาง อรชรอ้อนแอ้นแต่สง่างามนะ และหน้าตาสวยงามอ่อนช้อยเหมือนสตรีนั่นคือ พระโพธิสัตว์ แต่ถ้าเป็นองค์ที่ดูดุดันแมนแบบชายชาตรีคือ พระอรหันต์จ๊ะ แล้วเวลาเห็นองค์พระพุทธรูปมองแล้วออกจะท้วมๆ ใจดีอ่ะแยกออกไหมว่าองค์ไหนคือ พระศรีอริยเมตไตรย หรือพระสังกัจจายน์กันแน่อ่ะ ไม่ใช่องค์เดียวกันนะจ๊ะ ไม่เหมือนกันนะ ตอนแรกปูก็แยกไม่ออกหรอกมาที่นี่ถึงเข้าใจ พระศรีอริยเมตไตรยอ่ะท่านจะมองดูออกแค่ท้วมๆ ยิ้มใจดี ในขณะที่ถ้าเป็นพระสังกัจจายน์ท่านจะดูอวบอ้วนกว่ามีพุงและจะหัวเราะกว้างตลอดเวลาพร้อมกับในมือจะถือถุงแบกถุงหรือนั่งทับเงินทองอยู่ยังไงล่ะ


