‘จากตาเราสู่ใจเขา’ ศิลปะภาพถ่ายเพื่อคนตาบอด
โดย...โจ เกียรติอาจิณ
โดย...โจ เกียรติอาจิณ
แม้จะเป็นศิลปะเพื่อคนตาบอด แต่ทางคนจัดงานก็ยืนกราน งานนี้คนตาดีได้เปรียบ เพราะนอกจากจะได้เห็นภาพถ่ายต้นฉบับแล้ว ยังได้สัมผัสกับงานประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำ
“จากตาเราสู่ใจเขา” (From My Eyes to Your Heart) ก่อเกิดขึ้นเป็นนิทรรศการโดยกลุ่มช่างภาพอิสระ Escape ที่มุ่งหวังอยากทำกิจกรรมดีๆ เพื่อสังคม ตั้งเป้าปีละครั้ง ไม่มาก ไม่น้อย ทำอะไรสักอย่างผ่านการถ่ายภาพ ซึ่งแต่ละคนถนัด
ปีนี้ท้าทายกว่าครั้งแรกเป็นไหนๆ เพราะไม่ใช่แค่การจัดแสดงภาพถ่ายของเหล่าสมาชิกเช่นที่เคยทำ ทว่ามันคือการจับภาพถ่ายมาเปลี่ยนให้อยู่ในรูปแบบของงานประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำ
“ผศ.ดร.สุกรี สินธุภิญโญ” ช่างภาพอิสระกลุ่ม Escape แกนนำจัดงาน เล่าถึงแรงบันดาลใจว่า ส่วนหนึ่งมาจากบทเพลง “เสียงในความเงียบ” (ประพันธ์โดย ประภาส ชลศรานนท์) อันเป็นที่มาของแนวคิดคนหูหนวกก็มีวิธีรับรู้ในการฟังเพลงที่ไพเราะฉันใด คนตาบอดก็มีสิทธิที่จะได้สัมผัสความงามทางศิลปะได้ฉันนั้น นี่เองจึงนำไปสู่การผสมผสานระหว่างงานศิลปะสองแขนงเข้าด้วยกัน ภาพถ่ายกับประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำ
“ผมอยากให้คนดูมาดูแล้วร้องว้าว!!! ว้าวทั้งคนตาบอดและคนตาดี แน่นอน คนตาดีอาจจะร้องว้าวมากกว่า เพราะสามารถเห็นภาพถ่ายต้นฉบับที่ตั้งไว้ข้างๆ กับประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำ ขณะเดียวกัน ผมก็เชื่อว่างานนี้จะสร้างการรับรู้ด้านการสัมผัสให้แก่คนตาบอด ยิ่งเฉพาะการสัมผัสความงามจากงานศิลปะที่น้อยครั้งนักจะได้ใกล้ชิด”
ผลงานที่ร่วมจัดแสดงครั้งนี้ มีทั้งสิ้น 67 ผลงาน ถอดแบบมาจากภาพถ่ายต้นฉบับสู่งานประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำ ชิ้นไฮไลต์นั้นคือภาพถ่ายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นภาพนางรำแต่งองค์เต็มยศ ยืนซ้อนกันขณะออกลีลาท่าทาง
“ภาพนี้สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยฯ เป็นคนคัดเลือกมาให้ ก็ดีใจและซาบซึ้งมากๆ ในฐานะภาพถ่ายพระราชทาน แต่ความพิเศษของภาพนี้ยังอยู่ที่นางรำคนหน้าสุด ถ้าสังเกตกันดีๆ เธอจะใส่อุปกรณ์ช่วยฟังด้วย ซึ่งตรงนี้ก็ยิ่งเซอร์ไพรส์ใหญ่เลย เพราะถือว่าเป็นความประจวบเหมาะกับแนวคิดของนิทรรศการ”
สำหรับภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับเกียรติจากศิลปินแห่งชาติ สาขาประติมากรรม “อาจารย์นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน” มาเป็นผู้ถ่ายทอดภาพถ่ายฝีพระหัตถ์สู่งานประติมากรรมปูนปั้นนูนตํ่า
“การคัดเลือกภาพถ่ายที่จะนำมาทำเป็นประติมากรรมปูนปั้น ความสวยงามต้องมาก่อน ซึ่งความสวยงามคงไม่ใช่จากแสงและเงา แต่เป็นความสวยงามจากรูปทรงและรูปร่าง สำคัญกว่านั้นแต่ละภาพต้องไม่มีรายละเอียดเยอะ เพราะการมีรายละเอียดเยอะ มันยากทั้งคนปั้น กระทั่งคนดูอย่างคนตาบอด ถ้าเกิดมีรายละเอียดเยอะเกินไปก็จะยากในการเข้าถึงและรับรู้ด้วย”
นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 ชิ้นไฮไลต์ที่น่าสนใจ ได้แก่ ภาพถ่ายจากศิลปินแห่งชาติ “อาจารย์ยรรยง โอฬาระชิน” ผลงานถูกปั้นโดยศิลปินชั้นเยี่ยม สาขาประติมากรรม “
อาจารย์เข็มรัตน์ กองสุข” อีกชิ้นก็เป็นภาพถ่ายจากศิลปินแห่งชาติ “อาจารย์วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร” โดยมีศิลปินชั้นเยี่ยม สาขาประติมากรรม “อาจารย์วิชัย สิทธิรัตน์” มาเป็นผู้ถ่ายทอดฝีมือการปั้น
ขณะที่ผลงานของ ผศ.ดร.สุกรี เป็นภาพถ่ายนางรำกำลังร่ายรำในท่วงท่าอันอ่อนช้อย ถ่ายทอดเป็นประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำ โดยทีมนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ควบคุมดูแลโดย “อาจารย์มานะ เอี่ยมวัฒนะ” แห่งสาขาประติมากรรม
“ผมอยากอธิบายความหมายของคำว่าอ่อนช้อยและงดงามผ่านงานประติมากรรมปูนปั้น เพื่อให้คนตาบอดได้สัมผัสกับมันว่าอ่อนช้อยเป็นยังไง งดงามเป็นยังไง เพราะปกติคำนี้น้อยครั้งนักที่คนตาบอดจะได้สัมผัสกัน ผมก็เลยเลือกภาพถ่ายที่สื่อถึงความอ่อนช้อยและงดงามในคราวเดียวกัน โดยไม่มีรายละเอียดอะไรมากเกินความจำเป็น”
นิทรรศการจัดแสดงจนถึงที่ 18 พ.ย.นี้ ณ ชั้น G ศูนย์การค้าเทอร์มินัล 21 โดยรายได้จากการจำหน่ายภาพถ่ายพร้อมงานประติมากรรมปูนปั้นนูนตํ่า หนังสือภาพถ่าย (เล่มละ 599 บาท) โปสต์การ์ดภาพถ่าย (ใบละ 20 บาท) หลังหักค่าใช้จ่าย มอบให้มูลนิธิคนตาบอดไทย มูลนิธิคอลฟีลด์เพื่อคนตาบอด ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และองค์กรการกุศลเพื่อคนตาบอดอื่นๆ
ศิลปะภาพถ่ายจากความตั้งใจดีเหล่านี้ แม้สายตาจะมองไม่เห็น แต่ก็สามารถสัมผัสได้ด้วยใจ


