posttoday

เซี่ยงไฮ้ถึงโจวจวงมหานครแยงซีหลากมิติ

27 ตุลาคม 2555

จีน ประเทศที่กำลังถูกจับตาจะกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกในเวลาไม่กี่ทศวรรษ

โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย

จีน ประเทศที่กำลังถูกจับตาจะกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกในเวลาไม่กี่ทศวรรษ

ยุทธศาสตร์การพัฒนาของจีน คือ การสร้างการแข่งขัน โดยเมื่อปลายเดือน พ.ค. 2553 คณะรัฐมนตรี (State Council) และคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (National Development and Reform Commission : NDRC) ที่ทำหน้าที่กำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละภูมิภาคของจีน ได้อนุมัติแผนพัฒนาพื้นที่ปากแม่น้ำแยงซีเกียง (Yangtze River Delta Planning) ซึ่งถือเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของจีน

ในปี พ.ศ. 2552 ขนาดเศรษฐกิจของลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งประกอบด้วยมหานครเซี่ยงไฮ้ มณฑลเจ้อเจียง และมณฑลเจียงซู มีมูลค่ารวมประมาณ 7.18 ล้านล้านหยวน หรือคิดแล้วเป็นมูลค่ากว่า 35 ล้านล้านบาท มากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์


ขนาดเศรษฐกิจดังกล่าว แซงหน้าขนาดเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ไปเรียบร้อย และใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจของประเทศไทยมากกว่า 3 เท่า

เซี่ยงไฮ้ถึงโจวจวงมหานครแยงซีหลากมิติ

 

เมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา คณะนักศึกษาหลักสูตร การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูงรุ่นที่ 16 หรือ ปปร.16 เดินทางไปยังมหานครเซี่ยงไฮ้ อันเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนของเขตเศรษฐกิจพื้นที่ปากแม่น้ำแยงซีเกียง

สถานที่ซึ่งเข้าไปเยี่ยมชม คือ ศูนย์นิทรรศการพัฒนาเมืองเซี่ยงไอ้ (Shanghai Urban Planning Exhibition Center) เป็นสถานที่ระดับ 4 เอ (National AAAA Class) สำหรับนักท่องเที่ยว

ศูนย์แห่งนี้จะเป็นการแสดงถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของมหานครเซี่ยงไฮ้ โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากกว่า 5 ล้านคน

ภายในศูนย์จะมีการแสดงสิ่งที่เป็นเซี่ยงไฮ้ทั้งหมด อาทิ แบบจำลองของมหานครเซี่ยงไฮ้ ให้เห็นตึกระฟ้า ย่านพัฒนาต่างๆ การแสดงการลงทุนสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ทั้งสนามบิน ระบบคมนาคมขนส่ง การก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ท่าเรือหยางซาน (Yang Shan) ที่เชื่อมเกาะกับแผ่นดินใหญ่ด้วยสะพานยาว 32 กิโลเมตร ฯลฯ

คณะนักศึกษา ปปร.16 ยังได้รับฟังคำบรรยายพิเศษถึงทิศทางการพัฒนามหานครเซี่ยงไฮ้ ที่มุ่งเป้าหมายจะเป็นมหานครระดับนานาชาติ และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เหมือนกับมหานครชั้นนำอื่นๆ ในโลก

ทิศทางการพัฒนาของมหานครเซี่ยงไฮ้จะครอบคลุมหลายมิติ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดแบ่งพื้นที่อุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการเข้าสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต การเพิ่มความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ การเน้นด้านเศรษฐกิจ การเงิน การขนส่ง และการค้าระหว่างประเทศ รวมไปถึงระบบเชื่อมโยงเมืองต่างๆ เข้าหากัน ขณะเดียวกันยังต้องรักษาวัฒนธรรม ควบคู่การพัฒนาเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่มีภาพเฉพาะความทันสมัยเท่านั้น แต่เขตเศรษฐกิจปากแม่น้ำแยงซีเกียงยังมีวัฒนธรรมเก่าแก่กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวเช่นกัน

สถานที่ซึ่งคณะนักศึกษา ปปร.16 เข้าไปเยี่ยมชม คือ หมู่บ้านกลางน้ำโจวจวง (Zhouzhuang) ซึ่งได้รับฉายาว่า ยอดหมู่บ้านกลางน้ำแห่งเจียงหนาน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลเจียงซู ในเขตเมืองคุนซาน โดยอยู่ห่างจากเมืองซูโจวประมาณ 30 กว่ากิโลเมตร และอยู่ห่างจากมหานครเซี่ยงไฮ้ราว 2 ชั่วโมง

โจวจวงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่เดิมมีชื่อว่า เจินเฟิงหลี่ สามารถย้อนประวัติศาสตร์ไปได้ไกลถึงยุคซ่งเหนือ ในช่วงปี ค.ศ. 1086 โดย โจวตี๋กง ได้บริจาคที่ดินขนาด 1.3 หมื่นตารางเมตร เพื่อเป็นที่สำหรับการสร้างวัดเฉวียนฝู โดยแซ่ของ โจวตี๋กง ก็ได้รับเกียรติถูกนำมาตั้งเป็นชื่อ โจวจวง ในปัจจุบัน

บ้านในโจวจวงนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) และราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644-1911) ประกอบด้วยอาคารและบ้านทรงจีนและสะพานหิน ซึ่งถูกอนุรักษ์ไว้จวบจนปัจจุบัน

สถานที่มีชื่อของโจวจวง คือ บ้านเจ้าสัวเสิ่น อยู่บริเวณใกล้ๆ กับสะพานฟู่ เป็นบ้านที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1742 ในสมัยราชวงศ์ชิง ตระกูลเสิ่นโด่งดังมาจาก เสิ่นว่านซาน พ่อค้าวาณิชผู้ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงปลายราชวงศ์หยวนต้นราชวงศ์หมิง เป็นหนึ่งในตำนานของเศรษฐีที่ก่อร่างสร้างตัวมาจากชีวิตที่ยากจน เริ่มจากการเป็นลูกมือคนอื่น แสดงฝีมือเป็นที่ประจักษ์จนเป็นเจ้าของเรือขนส่งหลายลำ บุกเบิกเส้นทางการค้าของจีน จนในที่สุดกลายเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนานในยุคนั้น

ในหมู่บ้านโจวจวงจะมีบริการนั่งเรือแจวชมวิวไปตามลำคลองที่เหมือนเวนิซแห่งประเทศจีน

เซี่ยงไฮ้และโจวจวงจึงเป็นภาพที่ตัดกันอย่างสิ้นเชิง แห่งหนึ่งคือมหานครแห่งความมั่งคั่ง ทันสมัย แต่อีกแห่งกลับยังคงรักษาเอกลักษณ์หมู่บ้านกลางน้ำมานับร้อ ๆ ปี

แต่ทั้งหมดปรากฏอยู่อย่างกลมกลืนในเขตเศรษฐกิจแยงซีอันหลากมิติ

เซี่ยงไฮ้ถึงโจวจวงมหานครแยงซีหลากมิติ

 

ขาหมูและปูขน

ใครมาเที่ยวเมืองจีน สิ่งที่ต้องพูดถึงคืออาหารจีน และสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ที่ต้องพูดถึงคือขาหมูและปูขน

สำหรับขาหมูเป็นอาหารเลื่องชื่อของหมู่บ้านกลางน้ำโจวจวง สิ่งที่เลื่องชื่อคือขาหมูว่านซานถี มีการกล่าวขานว่ากันว่า เป็นขาหมูที่ได้รับการยกย่องว่าอร่อยสุด เมื่อครั้งสมัยราชวงศ์ชิงในอดีต

รสชาติของขาหมูว่านซานถีจะออกเค็มและหวาน ขายกันเป็นล่ำเป็นสัน เดินไปมีเรียงรายกันมากมาย อร่อยไม่อร่อยอยู่ที่ลิ้นและความชอบ

ส่วนอีกเมนูคือปูขน

ปูขนถูกยกย่องเป็นสุดยอดของปู ในอดีตมีไว้เพื่อถวายจักรพรรดิ โดยปูขนจะมีเฉพาะช่วงเข้าสู่ฤดูปลายฝนต้นหนาว ราวๆ เดือน ต.ค. จนถึงเดือน ธ.ค. ปีละ 34 เดือน เป็นฤดูกาลกินปูขนของเซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง โตเกียว และเกาหลี ตามร้านอาหารในเมืองไทยและฮ่องกงนั้นราคาแพงมาก

เหตุที่เรียกปูขน เพราะมีขนมาก มีอยู่ตามก้ามและขา โดยทะเลสาบที่เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงปูพันธุ์นี้โด่งดังที่สุด คือ ทะเลสาบหยางเฉิง (Yang Cheng Hu) ช่วงที่กินปูได้อร่อยนั้น จะเริ่มหลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ คือ ในช่วงเดือน ต.ค.และ พ.ย. โดยปลายเดือน ต.ค. เป็นระยะที่ปูตัวเมียเริ่มมีไข่ ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะมีความอร่อยพอๆ กัน

การกินปูขนต้องใช้น้ำจิ้มที่ผสมขิงอ่อนกับซอสเปรี้ยวแล้วผสมเหล้าเส้าชิงหรือเหล้านารีแดง ที่เมืองไทยมีปูขนขายเช่นกัน ตัวละตั้งแต่หลักหลายร้อยถึงหลักพันบาท

สัมพันธ์ไทยจีน

การเดินทางมาเยือนจีนและมหานครเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ เป็นการประสานงานร่วมของสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทยจีน อันมี พินิจ จารุสมบัติ สมาชิก ปปร.16 เป็นนายกสมาคม กับสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลก

สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทยจีน เกิดขึ้นจากการก่อตั้งของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เดินทางไปเจรจาความร่วมมือกับจีนด้านความมั่นคง โดยฝ่ายเสนาธิการของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้แนะนำให้ฝ่ายไทยได้จัดตั้งองค์กรภาคเอกชนทำหน้าที่เป็นสะพานที่สั้นที่สุดขึ้น เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ในปี พ.ศ. 2536 สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทยจีน ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มี พล.อ.ชวลิต เป็นนายกสมาคมคนแรก ในปี พ.ศ. 2548 ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้าดำรงตำแหน่งเป็นคนที่ 2 ในปี พ.ศ. 2551 พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ เป็นนายกสมาคมคนที่ 3 และพินิจ เป็นนายกสมาคมคนที่ 4

สำหรับสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลก เป็นสมาคมที่รวบรวมนักธุรกิจชั้นนำของประเทศจีน โดยการเดินทางมาเซี่ยงไฮ้ของคณะ ปปร.16 หลูจวิ้นชิง (Lu Jun Qing) ประธานสมาคม และ จ่างหยงเซิน รองประธานสมาคมประจำนครเซี่ยงไฮ้ ได้ให้การต้อนรบและดูแลตลอดการเดินทาง

เมื่อปี พ.ศ. 2552 ประธานหลูเคยนำนักธุรกิจจีน 300 คน เดินทางเข้ามาจัดประชุมนักธุรกิจไทยจีน (ThaiChinese Business Forum 2009) ควบคู่กับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา โดยครั้งนั้นมีการตั้งเป้าหมายการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในไทย มูลค่าการลงทุนกว่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การจัดหนุ่มสาวฐานะดีมาแต่งานในไทย 1 หมื่นคู่ ฯลฯ

และในปีนี้ สมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลกมีกำหนดจะเดินทางมาประชุมอีกครั้งที่เมืองไทย

ข่าวล่าสุด

ประเสริฐยันจบด้วยดี “ไชยา” ลาเพื่อไทยเหตุจำเป็นการเมือง