ลึยสุดยอด "ถ้ำ" อินเดีย อชันตา-เอลโลรา-เอเลเฟนตะ
“อินเดีย” เป็นประเทศหนึ่งที่มีโอกาสได้ไปทำข่าวหลายครั้งหลายหน โดยเฉพาะเส้นทาง 4 สังเวชนียสถาน
โดย...ภควิตา อัจจาทร
“อินเดีย” เป็นประเทศหนึ่งที่มีโอกาสได้ไปทำข่าวหลายครั้งหลายหน โดยเฉพาะเส้นทาง 4 สังเวชนียสถาน การไปในดินแดนภารตในแต่ละครั้งจะได้พบได้เจอการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายของคนจนอินเดีย พวกเขานอนที่ไหนก็ได้ไม่ว่าจะเป็นข้างถนนหรือสถานีรถไฟ กินอะไรก็ได้แม้กระทั่งต้องไปคุ้ยขยะ รวมถึงอึตรงไหนก็ได้ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นทุ่งนาหรือทุ่งโล่งแจ้ง ว่ากันว่าคนอินเดียกว่า 600 ล้านคน ไม่มีส้วมเป็นของตนเอง พูดง่ายๆ ก็คือ ประเทศอินเดียมีสนามอึที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง
การใช้ชีวิตเรียบง่ายสุดๆ ทำให้นักท่องเที่ยวไทยจำนวนไม่น้อยทำใจไม่ได้ และเกิดอาการต่างๆ นานา เอกสารข้อมูลท่องเที่ยวของบริษัท P.B.Travel Agency Center อันเป็นเจ้าภาพในการเชิญบรรดาเจ้าของบริษัททัวร์ไปร่วมแฟมทริปเส้นทาง “มุมไบออรังกาบัดอชันตา–เอลโลรา” เมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา จึงเตือนลูกทัวร์ว่า
“ขอให้เปิดใจกว้างสำหรับประเทศอินเดีย มองเขาในอย่างที่เขาเป็น อย่ามองเขาในอย่างที่เราเป็น หรืออยากให้เป็น”
“ทุกข์มีไว้ให้เห็น อย่าไปทุกข์ตาม และสุขอยู่ที่เราจะให้เป็น แล้วท่านจะมีความสุขในการท่องเที่ยว”
เกริ่นด้วยท่วงทำนองแบบนี้อาจทำให้บางท่าน “ไม่อยากไปอินเดีย” ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ประเทศนี้มีอะไรที่น่าค้นหาอีกเยอะ จนการท่องเที่ยวอินเดียใช้แคมเปญว่า
Incredible India!
ดังนั้น ในชีวิตหนึ่ง ถ้าไม่ลำบากลำบนเรื่องเงินเรื่องทอง จึงอยากให้ได้ไปสัมผัสอินเดีย เพื่อจะรู้ว่าเกิดมาเป็นคนไทยนั้น
บุญแล้ว!
นั่งรถไฟอินเดียแล้วจะลืมไม่ลง
อินเดียในช่วงต้นเดือน ต.ค. ในรัฐมหาราษฏระ โดยเฉพาะที่นครมุมไบ (ชื่อเดิมบอมเบย์) ยังมีฝนตกเพื่อรอก้าวเข้าฤดูหนาว อากาศที่นั่นจึงไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป 21 ชีวิต ที่มี “คุณสุรนาถ ทวีทรัพย์” เจ้าของบริษัท พี.บี.ฯ เป็นหัวหน้าทัวร์ เป็นทริปที่ต้องตื่นตัวและตื่นเต้น พอลงจากเครื่องบินของบางกอกแอร์เวย์ส ซึ่งเป็น “เจ้าภาพร่วม” ตอนเที่ยงคืนครึ่งก็ต้องตื่นช่วงตี 3 ครึ่ง อาบน้ำแต่งตัวออกจากโรงแรมตี 4 ครึ่ง เพื่อไปขึ้นรถไฟในเวลา 6 โมง มุ่งหน้าไปยังเมืองออรังกาบัด ที่อยู่ห่างออกไป 324 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทาง 6-7 ชั่วโมง
การนั่งรถไฟด่วนแบบพัดลมโชยของอินเดียเป็นประสบการณ์ที่เชื่อว่าหลายคนคงจำไปอีกนาน เพราะนอกจากที่นั่งจะคับแคบ เนื่องจากต้องนั่งข้างละ 3 คนแล้ว ยังไม่สามารถหลับตาลงได้ง่ายๆ ทั้งที่ใจอยากจะงีบ ด้วยว่าพ่อค้าแม่ค้าส่งเสียงดังขายของตลอดทาง ทั้งการัมจาย (ชานมร้อน) ฝรั่ง น้ำอัดลม ถั่วคั่ว ฯลฯ ปนเสียงขอทาน
การแสดงดนตรีและมายากลของเจ้าหนูตัวน้อยที่ลอดห่วงให้คนดูยังไม่ตื่นเต้นเท่ากับว่าบางสถานีมี “สตรีข้ามเพศ” ปรบมือเสียงดังเอะอะ เพื่อเรียกร้องความสนใจให้ผู้คนหันมาพร้อมกับเสียงขอพรจากพระเจ้าพลางเรียกเงินจากผู้โดยสาร ชายจริงจำต้องหยิบรูปีให้ เนื่องจากมีความเชื่อว่าหากโดนกะเทยด่าหรือสาปแช่งจะไม่เป็นมงคลกับชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือซวยนั่นเอง
นี่เป็นวิธีการหาเงินแบบง่ายๆ ของประเทืองอินเดีย ซึ่งมีจำนวนมากถึง 2 หมื่นคน จากจำนวนประชากร 20 ล้านคน บางคนใช้วิธีขอเงินตามสี่แยก บางคนขอตามโบกี้รถไฟ ไปแต่ละตู้ๆ ก็ได้เงินพอประมาณ (1 รูปี เท่ากับ 0.6 บาท) ถ้าใครไปมุมไบจะได้เห็นสตรีข้ามเพศเหล่านี้นุ่งห่มส่าหรีเหมือนสาวอินเดียทั่วไป
ช่วงบ่ายคณะก็มาถึงสถานีรถไฟของออรังกาบัด (Aurangabad) ชื่อเมืองนี้มาจากชื่อของพระเจ้าออรังเซบ พระโอรสของพระเจ้าชาห์ เจฮัน (กษัตริย์ผู้สร้างทัชมาฮาล) ออรังกาบัดเป็นเมืองที่มุสลิมอยู่เยอะมาก ผู้หญิงก็ปิดตามิดชิด
“ราเจซ” ไกด์อินเดีย เตือนว่า ช่วงออกไปเดินนอกโรงแรมอย่านั่งแท็กซี่หรือรถตุ๊กตุ๊กเป็นอันขาดเพราะจะเกิดปัญหา อาทิ มีการเรียกเกินราคากว่าที่ตกลงเอาไว้
อลังการงานสร้าง
ตามโปรแกรมรุ่งขึ้นต้องไปถ้ำอชันตา (Ajanta Caves) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองออรังกาบัด 104 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง ดีที่ว่าระหว่างทางได้แวะเข้าห้องน้ำในโรงแรมเล็กๆ ซึ่งถ้าไม่เขียนคำว่าโฮเต็ลไว้ นักท่องเที่ยวก็ไม่มีวันรู้ได้ว่าเป็นโรงแรม
นึกว่าร้านขายเครื่องดื่มข้างทาง
อชันตา เป็นถ้ำของพระพุทธศาสนาสมัยหลังพุทธกาล โดยขุดเจาะภูเขาเพื่อใช้เป็นวัด โบสถ์ วิหาร หอ สวดมนต์ และที่พักของสงฆ์ (แบ่งเป็นห้องๆ มีเตียงนอนด้วย) จำนวน 29 ถ้ำ เรียงกัน อยู่ตามหน้าผา ซึ่งเป็นโค้งรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว สร้างขึ้นในช่วง พ.ศ. 3501200 ถ้ำถูกปล่อยร้างอยู่อย่างนั้น กระทั่ง พ.ศ. 2362 จอห์น สมิธ นายทหารอังกฤษ ออกมาล่าสัตว์และมาพบเข้า
แต่ละถ้ำมีการแกะสลักพระพุทธรูปสวยงาม รวมทั้งจิตรกรรมภาพเขียนผนัง ถ้ำนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้ว
ว่ากันว่า ถ้ำถูกสร้างขึ้น 2 ช่วง ช่วงแรก ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 7 ช่วงสอง ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 1011 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 13 ในระยะแรกๆ อยู่ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของกษัตริย์ ราชวงศ์หลายพระองค์
โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก เป็นสายหินยานหรือเถรวาท 6 ถ้ำ คือ ถ้ำที่ 8, 9, 10, 12, 13 และ 15 ซึ่งเป็นหมู่ถ้ำที่เก่าแก่ที่สุด ส่วนที่เหลืออีก 24 ถ้ำ เป็นสายมหายาน หลายแห่งคละเคล้าผสม เดิมเป็นของหินยาน แล้วถูกฝ่ายมหายานมาเติมแต่งเพิ่มทีหลัง
สันนิษฐานกันว่าเดิมเป็นงานที่สร้างโดยช่างแกะสลักชาวฮินดูในวรรณะล่างที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธหินยาน ต่อมามหายานเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาแทน
ความแตกต่างระหว่างถ้ำหินยานกับมหายานก็คือ หินยานยุคแรกไม่มีพระพุทธรูป มีแต่พระสถูป ต่อมาก็มีพระพุทธรูปหลังได้รับอิทธิพลมาจากกรีก
รูปแบบ ถ้ำอชันตามีสองแบบ แบบแรกเป็นวิหาร แบบที่สองเป็นเจติยะหรือเจดีย์
แม้จะมีถึง 29 ถ้ำ แต่ด้วยเวลาอันจำกัด ทางทัวร์จึงจัดให้ไปดูถ้ำที่สำคัญๆ เท่านั้น ภายในถ้ำนั้นจะไม่อนุญาตให้บันทึกภาพวิดีโอ จะให้ถ่ายเฉพาะภาพนิ่ง โดยก่อนที่จะมาถ้ำไกด์ทัวร์บอกไว้ว่า ถ้าใครรู้ตัวว่าเดินขึ้นบนถ้ำที่อยู่บนเนินสูงไม่ไหวต้องนั่งเสลี่ยงให้บอกล่วงหน้า โดยเสียค่าใช้จ่ายคนละ 600 บาท
ในคณะเราก็มีคนนั่งไม่กี่คน เพราะส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาวกันทั้งนั้น!
ว่าไปแล้วการขึ้นไปดูถ้ำอชันตาตอนสายๆ ที่แดดค่อนข้างแรงก็เล่นเอาเหนื่อยและร้อน ต้องใช้วิธีพักระหว่างทาง แต่เมื่อเข้าถ้ำแล้วทุกอย่างก็มุ่งไปที่ภาพที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งแต่ละถ้ำมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป
จิตรกรรมฝาผนังเป็นเยี่ยม
เริ่มจากถ้ำที่ 1 ไฮไลต์อยู่ที่ “จิตรกรรมฝาผนัง” และ “รูปปั้น” ภายในถ้ำมีภาพวาดพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และพระปัทมปาณีถือดอกบัว พระเศียรเอียงแสดงสีหน้าอ่อนโยนและเมตตา
ส่วนถ้ำที่ 2 เป็นจิตรกรรมฝาผนังเรื่องการประสูติของพระพุทธองค์และการพระสุบินของพระนางสิริมหามายา ถ้ำเบอร์ 5 เป็นถ้ำใหญ่สุดของหมู่ถ้ำพุทธ เสาหินก็มีลักษณะเด่น
ถ้ำหมายเลข 16 ด้านหน้าจะมีภาพแกะสลักช้าง ส่วนด้านในสุดเป็นคูหาประดิษฐานพระพุทธรูป ส่วนถ้ำที่ 19 มีวิหารหินแกะสลักที่สวยงาม ความโดดเด่นอยู่ที่เพดานด้านบนเป็นทรงเกือกม้า และมีรูปปั้นเทพารักษ์ยืนตรงขอบหน้าต่าง
ถ้ำที่ 26 มีพระพุทธรูปปางปรินิพพาน ซึ่งค่อนข้างจะสมบูรณ์
ในแต่ละถ้ำนั้นจะมีเจ้าหน้าที่อินเดียเฝ้าอยู่ และบางคนจะเปิดประตูให้เข้าชมพระพุทธรูปด้านใน เรียกว่าบริการเป็นพิเศษ บางรายพาไปดูไฮไลต์ภายในถ้ำ อาทิ ภาพเขียนลวดลายต่างๆ ที่ยังสมบูรณ์ หรือมุมภาพที่ถ่ายออกมาดี จากนั้นมักจะคะยั้นคะยอให้นักท่องเที่ยวทำบุญหน้าพระพุทธรูป พร้อมกับกระซิบขอ “Thai Balm”
คุณน้ำฝน “ลัคณา วันเทวิน” อดีตผู้จัดการสายการบินเจ็ต แอร์ไลน์ฯ เธอซื้อยาหม่องตาลิงติดมาแจกแขกหลายกล่อง ทำเอาพวกนั้นปลื้มมาดามคนสวย ส่วนคุณสุรนาถหรือคุณตึ๋งก็ถูกแขกขอยาหม่องเช่นกัน แต่เจ้าตัวไม่มีจะให้เพราะไม่ได้พกพามาสักตลับ ทว่าแขกไม่เชื่อ ขอร้องให้ค้นดูในกระเป๋าอีกสักรอบ แขกคิดว่าคนไทยทุกคนต้องพกยาหม่องติดตัวแน่เลย ฉะนั้น ถ้าใครไปอินเดียและอยากให้พวกแขกแฮปปี้ก็ขอให้แจกยาหม่อง
รับรองได้ใจแขกเต็มร้อย!
เราใช้เวลาในการดูถ้ำหลายชั่วโมงจนเกินเวลาที่ทัวร์กำหนดไว้ ทำให้ต้องทานอาหารกลางวันตอนบ่าย 3 ซึ่งก็ไม่มีใครปริปากบ่นสักคำ เพราะถือว่าคุ้มสุดคุ้ม
หลังจากดูถ้ำอชันตาเสร็จ ได้ยินใครบางคนบอกว่าถ้ำนี้น่าจะได้ยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เพราะคิดไม่ถึงว่าคนยุคโบราณจะสามารถแกะสลักหินบนภูเขาได้อย่างสวยงามเช่นนี้ มันเป็นความพยายามที่น่าสรรเสริญยิ่งนัก ทำด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจริงๆ ไม่รู้ว่ามนุษย์ยุคปัจจุบันจะมีแรงบันดาลใจ หรือมีความสามารถทำได้แบบนี้หรือเปล่า
ทึ่ง 3 ศาสนาอยู่ในถ้ำเดียวกัน
วันรุ่งขึ้นเรามากันที่ถ้ำเอลโลรา (Ellora) ซึ่งเป็นถ้ำมรดกโลกที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองออรังกาบัด โดยใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมง ถ้ำนี้สร้างเมื่อ พ.ศ. 11001400 มีทั้งหมด 34 ถ้ำ เป็นวัดและศาสนสถานที่เจาะเข้าไปในภูเขาเช่นเดียวกับถ้ำอชันตาแต่สร้างสมัยหลัง โดยมี 3 ศาสนาอยู่รวมกัน คือ พุทธ ฮินดู และเซน สันนิษฐานว่าก่อสร้างโดยช่างชุดเดียวกับที่สร้างถ้ำอชันตา นับเป็นความเพียรพยายามในการแกะสลักภูเขาทั้งลูก โดยการแกะสลักจะทำจากด้านบนสุดแล้ว ค่อยๆ ไล่ลงมา อาทิ การแกะสลักจนเป็นตัววิหาร อย่างเช่น วิหารของพระศิวะ ที่ใช้เวลาแกะสลักนานถึง 200 ปี
ไฮไลต์ของถ้ำเอลโลราอยู่ที่เทวาลัยถ้ำเขาไกรลาส (Kailasanatha Temple) ซึ่งอยู่ที่ถ้ำหมายเลข 16
ภาพแกะสลักเหล่านี้ล้วนวิจิตรงดงาม ไม่ว่าจะเป็นรูปองค์พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ พระพิฆเนศ ช้างเอราวัณ รวมทั้งเหล่านางเทพ อัปสร ฯลฯ
เอเลเฟนตะถ้ำของฮินดู
อีกวันที่มุมไบก่อนจะกลับกรุงเทพฯ นอกจากจะไปถ่ายรูปกันที่Gateway of Indiaประตูที่รัฐบาลอาณานิคมของอังกฤษสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1911และโรงแรมชื่อดังอย่างทาชฯ แล้วยังได้นั่งเรือไปที่ถ้ำเอเลเฟนตะ ซึ่งเป็นมรดกโลกอีกแห่งของอินเดีย โดยกษัตริย์รางวงศ์ไตรกุฎกะเป็นผู้สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1987เพื่อฉลองชัยชนะจากสงครามและอุทิศถวายต่อเทพ
ไฮไลต์ของถ้ำนี้อยู่ที่พระมเหศวรมูรติ หรือพระตรีมูรติ ซึ่งเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก และพระองค์จะประทานความอุดมสมบูรณ์ ทั้งในเรื่องความรักและชีวิตที่มั่งคั่งกับผู้ที่มาขอพร
แน่นอนต้องมีศิวลึงค์ และอย่าได้แปลกใจที่จะเห็นแบงก์ไทยไปปรากฏอยู่ตรงหน้าศิวลึงค์ของที่นี่ ไม่รู้ว่าคนวางอธิษฐานขออะไรและไม่กล้าคาดเดา...
แม้ตัวถ้ำจะไม่ใหญ่มาก แต่เวลามีน้อย มัวแต่ถ่ายรูปจนเพลินเลยไม่มีโอกาสได้ขอพรจากพระตรีมูรติ นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากขอให้พระองค์ช่วยให้ชาวอินเดีย1,000กว่าล้านคนในดินแดนภารตมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้
ขอบคุณ...บริษัท พี.บี.ฯ และสายการบินBangkok Airwaysสองเจ้าภาพที่ทำให้ทริปนี้สมบูรณ์
คุณสุรนาถ ทวีทรัพย์กรรมการผู้จัดการ บริษัทP.B. Travel Agency Center
พี.บี.ฯ ออกไปลงทุนทำธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศอาเซียนก่อนที่จะเปิดเสรีการค้าในไม่กี่ปีข้างหน้า สัมภาษณ์ชิ้นนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนไทยบ้างไม่มากก็น้อย
พี.บี.ฯ ตั้งมา 15 ปีแล้ว ปกติจะทำเอต์ท์บาวด์ไปทุกประเทศทั่วโลก มีสำนักงานอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพฯ และภูเก็ต ส่วนต่างประเทศก็มีที่กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า และมีร้านอาหารไทยอยู่ที่เมืองหลวงน้ำทา ประเทศลาว ชื่อร้านครัวไทย อยู่ในเส้นทางR3aทัวร์ไปเมืองจีนจะไปกินมื้อเที่ยงที่หลวงน้ำทาพอดี ลงหุ้นกับคนลาว คนลาวซื้อที่ให้แล้วเราเช่าคนลาวอีกต่อหนึ่ง สัญญา 20 ปี ลงทุนไปหลายล้านเหมือนกัน ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ เพราะนักท่องเที่ยวไทย ลาว และคนจีน ที่ผ่านมาตรงนั้นต้องแวะทานเพราะมีร้านอาหารไทยร้านนี้ร้านเดียว
สาเหตุที่มาตั้งจุดนี้เพราะอนาคตไม่น่าเกินสิ้นปีนี้ ถนนจากลาวสู่เวียดนามจะเสร็จ ปีที่แล้วผมพาคณะเอเยนต์ไปสำรวจเสร็จประมาณ80%แล้ว เสร็จ100%เลี้ยวซ้ายจะไปสิบสองปันนา เลี้ยวขวาจะไปเวียดนาม ผ่านเมืองขวาของลาว ไปทะลุชายแดนที่ด่านไตจาง เมืองเดียนเบียนฟู
เช้าที่เชียงของแล้วข้ามน้ำโขงไปที่เมืองห้วยทรายไปหลวงน้ำทา ผ่านสามแยกนาเตย ถ้าเลี้ยวซ้ายไปประเทศจีน เลี้ยวขวาจะไปเวียดนาม อีกหน่อยเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไทย เพราะเป็นเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามมาก
เดียนเบียนฟู เป็นเมืองประวัติศาสตร์สมัยสงครามเวียดนาม ไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ไปดูสมรภูมิรบ เที่ยวตรงนั้นหนึ่งคืน รุ่งขึ้นนั่งรถต่อไปยังเมืองซาปา ระหว่างทางจากเดียนเบียนฟูไปซาปาสวยงามมาก ผ่านเมืองใหม่ระหว่างเดียนเบียนฟูกับซาปา ชื่อเมืองลาเจลสวยมาก เป็นเส้นทางที่ไปแล้วไม่เบื่อ
พอไปถึงซาปา ซึ่งเป็นเมืองในภาคเหนือของเวียดนาม มีหิมะ เวียดนามนั้นมีลักษณะเป็นตัวเอสยาวจากเหนือลงใต้ ซาปาอยู่ทางเหนือสุด จะมีหิมะปกคลุมในฤดูหนาว แต่ถ้าในฤดูปกติอากาศจะค่อนข้างหนาวเย็น เป็นเมืองในภูเขา เป็นสวิตเซอร์แลนด์ของเวียดนามที่มีชาวเขาอยู่มากเผ่า มีการแต่งตัวด้วยสีสันที่แตกต่างกันไป เวลาคนไปเที่ยวเวียดนามจะไปถ่ายภาพทิวทัศน์ที่นาขั้นบันไดที่มีชื่อเสียง จากนั้นจะนั่งรถไฟจากซาปากลับมาที่ฮานอย แล้วไปเที่ยวฮาลองเบย์ต่อ ก่อนจะบินกลับจากฮานอยมากรุงเทพฯ
มองการณ์ไกลที่ไปตั้งออฟฟิศในพม่า
เปิดออฟฟิศที่ย่างกุ้งเกือบ 10 ปี โดยไปร่วมหุ้นกับคนจีน พม่า ที่เป็นเพื่อนกัน รู้จักกันมาเกิน15ปีแล้ว สมัยก่อนผมคิดว่าทัวร์ไทยไปพม่าเยอะเลยไปตั้งออฟฟิศในย่างกุ้ง ตอนนี้ก็ดูแลเอเยนต์ที่ไปจากเมืองไทย ทัวร์ไทยรู้จักพี.บี.ฯ หรือเมียนมาร์เซ็นเตอร์ดอตคอม
เอเยนต์ใหม่ๆ ที่ไม่รู้จักก็จะถามเราว่า ทำแลนด์ด้วยไหม?เราเลยต้องเปิดแลนด์ ซึ่งมี10ประเทศที่ทำอยู่ ถือว่าเป็นโฮลเซลล์ให้กับเอเยนต์ด้วย ช่วยเหลือเอเยนต์ใหม่ๆ ที่เข้ามา
สมัยก่อนคนมองข้ามพม่า จริงๆ แล้วพม่าเป็นตลาดใหญ่ เพราะเขาไม่มีโรงงานและกำลังผลิตไม่มี โนว์ฮาวก็ไม่มี ฉะนั้น พม่าต้องอาศัยต่างชาติ อาศัยวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูปจากเมืองไทย จากเมืองจีน เมื่อก่อนสินค้าจากเมืองจีนเข้าไปค่อนข้างเยอะกว่าของไทย แต่ตอนนี้สินค้าไทยเข้าไปมากกว่าจีน เพราะคนพม่าเริ่มรู้สึกว่าสินค้าไทยมีคุณภาพดีกว่า คนพม่าให้ความไว้วางใจ ฉะนั้น จะลงทุนที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภคเพราะเขายังไม่มีโรงงาน
คนไทยมักมองพม่ายากจน แต่จริงๆ แล้ว“กำลังซื้อ”สูงมาก รายได้เขาน้อย คนจนก็เยอะ คนรวยก็เยอะ ฉะนั้น เราต้องมองตลาดบน ส่วนใหญ่สินค้าที่ไปก็“จับตลาดบน”เพราะว่าตลาดบนมีกำลังซื้อสูง เขาซื้อไม่อั้น ถ้าจะไปทำอะไรขายที่พม่าต้องมีคุณภาพดี เขาก็จะให้ความไว้วางใจ อย่างโรงพยาบาล คนพม่าให้ความไว้วางใจโรงพยาบาลในเมืองไทยมากกว่าที่อื่น จึงมีโรงพยาบาลของไทยไปจับตลาดพม่าหลายแห่งและค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ พวกนี้มาครั้งหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า3-5แสนบาทต่อคน
ปัญหาโรงแรมในย่างกุ้ง
การเงินของพม่าก็ค่อนข้างเสถียรแล้ว อยู่ที่850จ๊าดต่อ 1 เหรียญสหรัฐ ตอนนี้รัฐบาลคุมการเงินแล้ว พอเปิดประเทศมาแค่ปีเศษๆ ทุกประเทศทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่คนไทยต่างมุ่งตรงไปพม่าทั้งนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ความต้องการสูงแต่โรงแรมมีน้อย ผมคิดมานานแล้วว่าถ้าพม่าเปิดประเทศเมื่อไหร่ พม่าระเบิดเมื่อนั้น เพราะทุกคนไปอัดกันในพม่า ที่ย่างกุ้ง“ห้องพัก”ที่เคยมีก็มีอยู่เท่าเดิม ยังไม่มีการเพิ่มจำนวน พอเปิดกะทันหันคนก็แห่กันเข้าไป โรงแรมทุกแห่งก็เลยฉวยโอกาสหมด4-5ปีที่แล้ว โรงแรมห้าดาว แชงกรี-ลา เชนคอนแทกต์กับผมอยู่ที่ประมาณ40-50เหรียญ สี่ดาวประมาณ25เหรียญ แต่ ณ วันนี้ไม่ว่าสี่หรือห้าดาว250อัพ โรงแรมต่างๆ ขึ้น 5 เท่า จากสามดาวเมื่อ3-4ปีก่อน แค่คืนละ18เหรียญ สูงสุด20เหรียญ แต่ตอนนี้75เหรียญ อันนี้เป็นคอนแทกต์ ไม่ใช่วอล์กอิน เพราะฉะนั้น ยอดจองโรงแรมในพม่า99%เฉลี่ยทั้งปี ไปเมื่อไหร่ก็เต็มเมื่อนั้น นักท่องเที่ยวที่จะไปพม่าต้องจองอย่างน้อย2-3เดือน ถ้าจองเดือนเดียวต้องการโรงแรมนี้ไม่มีสิทธิ ใครจะเข้าไปพม่าต้องวางแผน 2-3 เดือนล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นจะไม่มีโอกาสนอนโรงแรมที่ตัวเองต้องการจะนอน
ค่าทัวร์ของไทยเมื่อก่อนขายพร้อมตั๋วเครื่องบิน3คืน4วัน ขายกันแค่1.39 หมื่นบาท หรือ 1.29 หมื่นบาท นอนโรงแรมห้าดาว ตอนนี้2.2-2.3 หมื่นบาท นอนสามดาว และบางครั้งถ้าไม่รีบจองก็เต็ม มีแต่ห้องที่ราคาสูง บางครั้งวันนี้ตกลงห้องละ150เหรียญ พอจะจองบอกเต็มเหลือห้องละ250เหรียญเป็นห้องดีลักซ์ด้วย ลูกค้าที่ไม่เข้าใจจะโกรธหาว่าเราฉวยโอกาส ผมเองเป็นคนกลางก็ลำบากใจมาก
เปิดเออีซีท่องเที่ยวฉลุย
เออีซีเปิดในปี2558การท่องเที่ยวจะเป็นธุรกิจที่ทำเงินมหาศาล เพราะใน10ประเทศอาเซียนจะโยงกันหมด ซึ่งธุรกิจทัวร์จะสามารถทำได้ทุกรูปแบบ ทั้งเข้ามาและออกไป จะไปทางรถ ทางเรือ ทางอากาศ ได้หมดทุกอย่าง ฉะนั้น ถ้าใครจะทำธุรกิจทัวร์ตรงนี้ได้จะต้องเปิดใจกว้างสำหรับทุกประเทศ และต้องอ่านใจเอเยนต์และลูกค้าในต่างประเทศให้ได้ด้วย เราทำสไตล์คนไทย ทุกคนแฮปปี้อยู่แล้วในเรื่องเซอร์วิส แต่เราต้องไปศึกษาเนเจอร์ของคนประเทศนั้นๆ ด้วยว่าเขาเป็นแบบไหน แล้วมาปรับเราจะได้โอกาสมากกว่า
คนยุโรปก็อยากมาอาเซียน อนาคตจะเป็นซิงเกิลวีซ่า พม่าเองก็ต้องเปิด ตรงนี้ยิ่งทำให้การท่องเที่ยวสะพัดยิ่งขึ้น ผมเลยวางแผนที่จะทำทัวร์อาเซียนโดยเฉพาะ เน้นจะรับอินบาวด์ ใครมาประเทศไทยสามารถเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้หมด


