“เรื่องเล่าในโลกลวงตา” กับการปลดเปลื้องบางสิ่งในดวงใจ
โดย...จตุรภัทร หาญจริง
โดย...จตุรภัทร หาญจริง
‘เรื่องเล่าในโลกลวงตา’ กับการปลดเปลื้องบางสิ่งในดวงใจ
มีใครเคยสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก หรือบุคคลอันเป็นที่รัก ด้วยการกระทำจากใครบางคนบ้างไหม การสูญเสียนี้ทำให้เรา โกรธ เกลียด เคียดแค้น ชิงชัง จนทำให้ต้อง “ดาบนั้นคืนสนอง” บ้างหรือเปล่า
แม้ว่าความเป็นจริงของโลกใบนี้ “การแก้แค้น หาใช่หนทางที่นำมาซึ่งการชำระล้างจิตใจอันเศร้าหมอง ที่เกิดจากการถูกพลัดพรากสิ่งอันเป็นที่รัก หรือบุคคลอันเป็นที่รักไปไม่ แต่เรามักถูกความเคียดแค้นชิงชังบดบังดวงตาจนทำให้ขุ่นมัวดวงใจอยู่เสมอ” นี่คือเรื่องจริง!
หากคุณคือคนหนึ่งที่กำลังเคียดแค้นชิงชัง และอยากทำทุกวิถีทางเพื่อเอาคืนใครบางคน เพื่อที่จะได้ปลดเปลื้องตัวเองออกจากความเศร้าหมอง ผมอยากให้คุณได้ลองอ่านวรรณกรรมสร้างสรรค์เรื่องนี้ครับ นั่นคือ “เรื่องเล่าในโลกลวงตา” เขียนโดย พิเชษฐ์ศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์ 1 ใน 7 วรรณกรรมสร้างสรรค์ที่เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ. 2555 แต่นั่นหาใช่สาระสำคัญไม่ สิ่งที่สำคัญมากกว่า นั่นคือ “สาร” ที่ผู้เขียนต้องการสื่อถึงผู้อ่าน และในฐานะผู้อ่าน เราสามารถรับสารตรงตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อหรือไม่
ผมอาจจะไม่ได้เผชิญหน้ากับผู้เขียน เพื่อไถ่ถามถึงสาระสำคัญของวรรณกรรมสร้างสรรค์เรื่องนี้ เนื่องจากผู้เขียนดำรงชีวิตอยู่ ณ ดินแดนห่างไกลจากกรุงเทพมหานคร (อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม) อีกทั้งบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผมกับพิเชษฐ์ศักดิ์ ก็เรื่อยเปื่อยเลื่อยล้อไปตามเรื่องราวการดำรงชีวิตของผู้คนในแถบชนบท ปัญหาการเมือง ไปจนกระทั่งเหตุการณ์น้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และอาจจะเกิดตามมาอีกในไม่ช้านี้
พอวกกลับมาที่วรรณกรรมสร้างสรรค์เรื่องนี้ พิเชษฐ์ศักดิ์เปรยกับผมว่า เขาใช้วิธีการเขียน แบบแฟนตาซี ใช้วิธีเหนือจริง และมีความคลุมเครือในการเขียน “วรรณกรรมเรื่องนี้ไม่ใช่วรรณกรรมที่นำเสนอสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันทั่วไปของเรา แม้กระทั่งความขัดแย้งในใจ หรือพฤติกรรมของตัวละครที่กำลังประสบอยู่ ก็เป็นไปด้วยการคิดฝันไปเอง หรือวิปลาส”
แน่นอนว่า วิธีการเขียนแบบนี้ท้าทายความสามารถของเขาอยู่มิใช่น้อย เนื่องจากเป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ที่เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกของเขานั่นเอง
“ก่อนหน้านี้ ผมเขียนเรื่องสั้นครับ ซึ่งความยากของความสั้นมันอยู่ตรงที่เราต้องทำให้กระจ่างในความสั้นให้ได้มากที่สุด ในขณะที่เรื่องยาวสามารถยืดออกไปได้ แล้วก็มีช่องว่างในการแสดงความคิดเยอะกว่า ทำให้กระจ่างในลักษณะของความคิดได้มากกว่า อิสระในการคิดการเขียนมากกว่า แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้องอยู่ในความลงตัว ไม่ใช่เรื่อยเจื้อยไปเรื่อย”
เมื่อผมได้อ่านวรรณกรรมสร้างสรรค์เรื่องนี้จบลง เหมือนผมหมดคำถามค้างคาใจ ไม่รู้จะถามอะไรเขาต่อไปดี เนื่องจากสิ่งที่เขาต้องการสื่อ มันสื่อสารได้ตรงไปตรงมา ชัดเจน และไม่ได้คลุมเครือเหมือนแนวทางการเขียนที่เขาต้องการให้แฟนตาซี เหนือจริง และคลุมเครือเลย ซึ่งนับว่านี่คือข้อดีของวรรณกรรมสร้างสรรค์เรื่องนี้ (จนอาจมีสิทธิได้รับรางวัลซีไรต์ประจำปีนี้ด้วย)
เรื่องราวของชายหนุ่มที่ต้องสูญเสียน้องสาวสุดที่รักไปด้วยพิษสงของอสรพิษร้าย จนทำให้เขาเคียดแค้นชิงชัง และนำพาความเคียดแค้นนี้บุกเข้าป่าเพื่อไล่ล่าเหล่าอสรพิษ เพื่อล้างแค้นให้สิ้นซาก
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ความเคียดแค้นชิงชังนี้จะถูกชำระล้างไหม คุณต้องหาวรรณกรรมสร้างสรรค์เรื่องนี้มาอ่านเอง ที่แน่ๆ ผมคงจะจบบันทึกท้ายบรรทัดประจำวันจันทร์นี้ไปไม่ได้ หากผมไม่ได้นำถ้อยคำจากวรรณกรรมสร้างสรรค์เรื่องนี้มาลงตามความมุ่งมาตรปรารถนา
“โลกมอบบางสิ่ง และเรียกเอาบางสิ่งคืนกลับเสมอ ใครจักครอบครองทุกสิ่งเสียทั้งหมด หากหวังเดินอยู่บนดินแดนของความสุข ต้องรู้ว่าควรละวางสิ่งใด และควรเก็บสิ่งใดไว้ในอ้อมอก”
หรือนี่คือแก่นสารสาระสำคัญ ที่พิเชษฐ์ศักดิ์กำลังสื่อ เพื่อให้เราได้ตระหนักถึง “การดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข สุขอย่างคนที่ปลดเปลื้องความทุกข์ออกจากจิตใจด้วยตัวของตัวเอง"


