posttoday

จากติ่มซำ แฮมเบอร์เกอร์ มาถึงผัดไทย “จอห์น เวน ชาน”

29 สิงหาคม 2555

ผู้คนที่แวะไปร้าน โฟร์ การ์ซง มักจะหลงเสน่ห์ผู้จัดการร้านหนุ่ม ชื่อ “จอห์น เวน ชาน” หรือ “เฉิน เหวิน ฉัง”

โดย...ณัฐพล ช่วงประยูร

ผู้คนที่แวะไปร้าน โฟร์ การ์ซง มักจะหลงเสน่ห์ผู้จัดการร้านหนุ่ม ชื่อ “จอห์น เวน ชาน” หรือ “เฉิน เหวิน ฉัง”

หนุ่มตี๋เชื้อสายจีนคนนี้เกิดและโตที่อเมริกา แม้ว่าจะเป็นครอบครัวเอเชียส่วนน้อยในฟลอริดา แต่เขาก็มีความสุขและพร้อมจะก้าวไปข้างหน้า เขาจึงไปเรียนที่ University of California at Berkeley จบแล้วทำงานพักใหญ่ก่อนไปต่อด้านบริหาร China Europe International Business School ประเทศจีน และลุยงานธุรกิจเครื่องบินพักหนึ่ง ก่อนมาตกหลุมรักเมืองไทย

“คุณพ่อผมมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ไปตั้งรกรากที่อเมริกาตั้งแต่ช่วงปี 1960 ส่วนคุณแม่ไปอยู่ที่นั่นช่วงปี 1970 พี่น้องทั้ง 4 คนก็เกิดและโตที่นั่น อาจจะต่างจากคนเอเชียในอเมริกาคนอื่นๆ เพราะส่วนมากจะอยู่นิวยอร์กหรือแคลิฟอร์เนีย แต่เราอยู่ฟลอริดา ผมก็โตมาแบบคนอเมริกันธรรมดา ไปเรียนก็มีแต่เพื่อนฝรั่ง ไม่มีเพื่อนเป็นคนเอเชียเลย พอเรียนจบมัธยมผมก็รู้สึกอยากจะลองไปอยู่ที่อื่นบ้าง ก็เลยไปเรียนมหาวิทยาลัยที่แคลิฟอร์เนีย พอไปถึงก็รู้สึกว่าสบายใจกว่า

ตอนย้ายไปแคลิฟอร์เนียผมก็ต้องปรับตัวเยอะเหมือนกัน เพราะโตมาในเมืองเล็กๆ แล้วย้ายไปอยู่เมืองใหญ่ๆ เป็นครั้งแรกเลยที่มีเพื่อนเป็นคนเอเชีย ที่จริงผมว่าลึกๆ แล้วผมก็มีความเป็นเอเชียอยู่ในตัว นั่นอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมย้ายมาอยู่เอเชียทุกวันนี้

ผมออกจากบ้านตอนอายุ 18 ครอบครัวผมค่อนข้างใหญ่ มีพี่น้อง 4 คน แต่ไม่ได้โตมากับญาติเยอะๆ แบบจีน พี่น้องผมก็ค่อนข้างจะเป็นอเมริกัน เป็นตัวของตัวเอง ผมสังเกตว่าคนไทยค่อนข้างจะสนิทกับครอบครัวมากกว่า พ่อแม่ผมก็บินไปมาระหว่างอเมริกากับจีน เคยทำธุรกิจมาหลายอย่าง ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน ร้านกิฟต์ช็อป แต่หลักๆ เลยก็คือ อสังหาริมทรัพย์

จากติ่มซำ แฮมเบอร์เกอร์ มาถึงผัดไทย “จอห์น เวน ชาน”

หลังจากเรียนจบผมทำงานธนาคารในแคลิฟอร์เนีย เป็นธนาคารเล็กๆ ทำอยู่ประมาณ 2 ปี พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าอยากกลับไปเรียนต่อ ผมก็ไปเรียนที่เมืองจีน MBA ที่ China Europe International Business School เรียนอยู่ปีครึ่งแล้วก็เริ่มทำงานไปพร้อมกัน

บุคลิกผมเป็นคนเรียบๆ แต่คนอื่นอาจจะมองว่าเข้าถึงยาก ไม่ใช่ว่าเป็นคนเฮฮากับคนที่ไม่สนิทด้วย ต้องใช้เวลาหน่อยกว่าจะสนิทกับใคร ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องแฟชั่นมากนัก ชอบอะไรที่เป็นวิชาการมากกว่า ผมสนใจวิทยาศาสตร์ทุกแขนงแล้วก็ชอบธรรมชาติ เป็นคนเคารพธรรมชาติมาก ชอบสัตว์ ที่จริงก็อยากมีสัตว์เลี้ยงแต่ว่าไม่ค่อยมีเวลา

ตอนผมอยู่ที่จีนก็เล็งๆ อยู่ว่าจะมาอยู่เมืองไทยดีไหม ที่จริงอยู่เมืองไทยทำธุรกิจง่ายกว่าอยู่ที่จีนก็ไม่ใช่ว่าง่ายมาก แต่ผมว่าคนไทยซื่อสัตย์แล้วก็คุยง่ายกว่า ทำงานด้วยแล้วสบายใจ ระหว่างที่ทำงานบริษัทเกี่ยวกับเครื่องบิน ดูแลเรื่องการตลาดในเอเชีย ตลอด 2 ปี ผมว่ามันเป็นงานที่ตรงกับความสนใจด้านวิทยาศาสตร์ของผม ผมชอบดูเครื่องบินเวลาไปสนามบิน พอได้มาทำงานก็ได้รู้จักส่วนต่างๆ ของเครื่องบินก็ยิ่งชอบเข้าไปอีก ผมชอบงานนี้แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ก็คิดว่ามันก็ยังเป็นงานออฟฟิศอยู่ดี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน

ผมมาอยู่เมืองไทย 3 ปีกว่าแล้ว ที่จริงก่อนหน้านี้ก็มาเที่ยวบ่อย มาครั้งแรกตอนปี 2001 ตอนนั้นไม่รู้จักใครเลย ก็ไปเที่ยวทะเลแล้วก็กลับ หลังๆ ก็ได้มีเพื่อนที่นี่ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่ พร้อมธุรกิจด้านอาหารฝรั่งเศสที่ร้าน โฟร์ การ์ซง (4 Garcons)

ผมคิดว่าธุรกิจที่นี่เริ่มดีขึ้นแล้ว งานนี้เป็นครั้งแรกที่ผมร่วมงานกับคนภายนอก เพราะปกติทำงานกับคนในออฟฟิศเดียวกัน ซึ่งลักษณะการทำงานก็ไม่เหมือนกัน พอมาทำงานนี้รู้สึกได้ว่าทุกคนดูเต็มที่กับงานมากเพราะว่าเป็นธุรกิจของตัวเอง ทุกคนช่วยกันออกความเห็นแล้วก็พยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด

ผมก็ได้เรียนรู้มากขึ้นเรื่องการทำงานร่วมกับคนอื่น ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ว่าต้องเอาชนะทุกครั้ง บางทีก็ต้องเลือกว่าตอนไหนสู้ ตอนไหนยอม ก่อนหน้านี้ผมต้องพูดคุยกับลูกค้าเยอะ แต่ตอนนี้เริ่มมาเน้นเรื่องดูแลบัญชีของร้านจ่ายเงินให้ตรงเวลา ตรวจสอบว่าค่าใช้จ่ายถูกต้องหรือเปล่า จ่ายเงินเดือนพนักงานและสรุปค่าใช้จ่ายรายเดือน เหมือนเป็นพนักงานบัญชีก็ว่าได้ (หัวเราะ)

ทางพี่ “โจ-นพ.รุจาพงศ์ สุขบท” ดูแลด้านอาหารและภาพรวมเมนู ส่วนพี่ “แวน-อายุษกร อารยางกูร” ดูแลเรื่องของหวาน แล้วก็ดูแลเรื่องการจัดการครัว พี่ “ป๊อป-พิรุณห์ วัชรามนตรี” ดูแลเรื่องการตกแต่งร้านและสั่งซื้อของ พวกของตกแต่งนี่ก็เป็นสไตล์และไอเดียของเขา แล้วก็เรื่องการตลาด ติดต่อสื่อ นามบัตรอะไรพวกนี้เขาก็ดูแลเอง

ที่จริงไม่ใช่งานที่ผมคุ้นเคยเลย ผมก็เรียนบัญชีมาแต่ไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรก ผมเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เยอะตั้งแต่เปิดร้านนี้ ตอนนี้ทุกอย่างค่อนข้างลงตัวแล้ว เริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ตอนแรกๆ นี่ยุ่งมาก วิ่งวุ่นทั้งวันคอยจัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตอนนี้พอทุกอย่างลงตัวแล้วก็มอบความรับผิดชอบให้พนักงานมากขึ้น

ร้านนี้มีพนักงานประมาณ 30 คน อีกร้านหนึ่งก็ประมาณ 1215 คน ก็ดีใจที่ร้านกำลังไปได้ดี เราตั้งใจไว้ว่าจะเปิดร้านเพิ่มปีละร้าน แต่ก็แค่คิดไว้คร่าวๆ พอเราโตขึ้นก็มีคนมากขึ้น ตอนนี้ร้านที่ 2 ของโฟร์ การ์ซง คือ โจส์ เทเบิล (Joe’s Table) เปิดมาได้ 3 เดือนแล้ว แม้จะเล็กกว่าสาขาแรก แต่ก็ไปได้ด้วยดี

ที่ผ่านมาพ่อของผมสอนอะไรผมเยอะมาก ท่านเป็นคนที่สร้างตัวเอง ไม่ได้เป็นลูกจ้างบริษัท พ่อบอกเสมอว่าให้หาช่องทางทำธุรกิจตัวเอง ผมเป็นลูกชายคนโต (ถัดจากพี่สาวคนแรก) ก็ต้องรับผิดชอบมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ต่างกับพี่น้องคนอื่นๆ มาก ไม่ได้รับความกดดันจากพ่อแม่ ที่จริงผมว่าพ่อแม่ก็ห่วงเรื่องชีวิตส่วนตัวผมเหมือนกัน ผมก็แค่บอกว่าผมรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่อยากให้พ่อแม่ห่วงมาก

ผมชอบดนตรีหลายประเภทและจะค่อนข้างติดเพลงยุค 80 เพราะตอนกำลังโตผมฟังเพลงยุคนั้น แต่ถ้าจำได้เยอะก็จะเป็นช่วง 90 ถ้ายุค 80 ที่ชอบก็มี ไมเคิล แจ็คสัน วิทนีย์ ฮิวสตัน และมาดอนนา ผมชอบฟังเพลงมาก บางทีก็ไม่รู้หรอกว่าเพลงนี้ใครร้อง แต่ฟังแล้วก็นึกถึงอดีต สมัยวัยรุ่นผมชอบโอเอซิส

ผมชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ กับไฟแนนซ์ นิยายไม่ค่อยอ่าน ถ้าเป็นหนังก็มีดูบ้าง แต่ชอบอะไรที่เป็นประวัติศาสตร์ ช่วงนี้ถ้ามีเวลาผมก็จะฝึกภาษาไทย เพราะว่าผมตั้งใจจะอยู่ที่นี่ ถ้าพูดไทยคล่องก็จะสื่อสารกับคนได้มากขึ้ร ก่อนมาที่นี่ผมพูดภาษาไทยไม่ได้เลย ก็เริ่มเรียนภาษาไทยที่โรงเรียนนิสามา 9 เดือนแล้ว ก็ช่วยได้มากเรื่องพื้นฐาน การอ่าน แล้วก็หลักภาษา การออกเสียง แต่พอออกนอกห้องเรียนแล้วก็ต้องฝึก คุยกับคนเยอะๆ เรียนรู้ศัพท์เพิ่ม ตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่ สงสัยจะเรียนไปเรื่อยๆ เพราะมีอะไรให้เรียนอีกเยอะมาก

ในเมืองไทย ผมชอบอาหารแต่ไม่ค่อยชอบดื่ม อาหารไทยที่ชอบก็มีผัดไทย กะเพราไก่ พวกแกงกะทิ อาหารเผ็ดๆ ก็กินได้แต่ไม่ใช่ว่าเผ็ดทุกจาน ถ้าอาหารไทยที่จริงก็กินที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าร้านที่ชอบก็มีตะลิงปลิง นารา แล้วก็ร้านศรแดง แถวๆ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เข้าไปในร้านแล้วรู้สึกเหมือนย้อนเวลาได้ ส่วนเครื่องดื่ม ก็ชอบน้ำเปล่าและน้ำผลไม้ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยกินผลไม้เยอะขนาดนี้มาก่อน ที่อเมริกาก็มีผลไม้แต่ไม่เท่าที่เมืองไทย พอมาที่นี่ก็ชอบมาก ผลไม้สดๆ ดีๆ เยอะมาก คนไทยโชคดีนะครับ ผมว่า

คนเราจะมีสเน่ห์ก็ต้องมาจากบุคลิกมากกว่า ผมชอบคนที่มีอะไรคล้ายๆ ผม ต้องจิตใจดี คนบางคนอาจจะห่วงแต่ตัวเองโดยไม่สนใจคนอื่น คนที่ผมอยากเป็นเพื่อนด้วยก็ต้องเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจ มีความอดทน ต้องคบกันด้วยตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าอยากให้เราเปลี่ยนแปลงเป็นแบบอื่น หรือมาคาดหวังอะไรจากเรา ผมอยู่มาหลายที่ เจอคนมาหลายแบบ มีแค่ไม่กี่คนที่ผมยังสนิทด้วยอยู่