เรียงความเรื่องโลกร้อน (1)
คุณครูของโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง ได้อ่านเรียงความของเด็กนักเรียน 3 คน ให้เด็กนักเรียนทั้งโรงเรียนฟัง
โดย...ภาสกร พุทธิชีวิน
คุณครูของโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง ได้อ่านเรียงความของเด็กนักเรียน 3 คน ให้เด็กนักเรียนทั้งโรงเรียนฟัง
มันเป็นเรียงความที่คุณครูให้เด็กนักเรียน ไปเขียนเรียงความภายใต้หัวข้อ “ภาวะโลกร้อน ควรเป็นภาระความรับผิดชอบของใคร ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับประเทศที่กำลังพัฒนา”
ปรากฏว่าเด็กๆ ตื่นตัวกันมากครับ และค้นคว้าข้อมูลกันอย่างจริงจัง คุณครูบอกว่าเรียงความฉบับแรกมันเป็นเรียงความที่มีมุมมองกว้างน่าสนใจ และเป็นเรียงความที่มีจุดยืนชัดเจน ว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อภาวะโลกร้อน
เนื้อหาโดยสรุปเป็นแบบนี้ครับ
...ใครจะต้องรับผิดชอบมากกว่ากันนั้น หมายถึง ใครทำให้โลกร้อนมากกว่าต้องรับผิดชอบมากกว่า ใครทำให้โลกร้อนมากกว่านั่นหมายถึง ใครปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 มากกว่ากัน และใครปล่อยมีเทนมากกว่ากัน
มีเทนก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนสูงกว่า CO2 ถึง 2 เท่า อะไรบ้างที่ก่อให้เกิดมีเทน เศษอาหารทั้งหลายที่เรากินกันไม่หมดแล้วเอาไปทิ้ง ฝังกลบ พวกนี้แหละตัวก่อมีเทนชั้นดี
สหรัฐอเมริกา ถือว่าแป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีอาหารเหลือทิ้ง 27% ของปริมาณอาหารทั้งหมด อาจจะนึกภาพไม่ออกว่า 27% มีปริมาณมากมายแค่ไหน เอาเป็นว่าอาหารที่เหลือแต่ละวันของคนอเมริกันสามารถเอาไปเลี้ยงคนในประเทศที่ด้อยพัฒนาได้ 20 ล้านคน
ในสภาพความเป็นจริงอาหารที่เหลือเหล่านี้ต้องนำไปฝังกลบอย่างเดียวเท่านั้น คิดดูก็แล้วกันอาหารที่เลี้ยงคนได้ถึง 20 ล้านคน จะเกิดมีเทนมากมายมหาศาลขนาดไหน นั้นหมายถึงภาวะโลกร้อนที่สูงขึ้นตามปริมาณมีเทนที่เพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนกลุ่มประเทศยุโรปถัวเฉลี่ยของคนในกลุ่มประชาคมยุโรป ทิ้งอาหารอย่างดีคนละ 180 กิโลกรัมต่อปี ตัวเลขขนาดนี้ทำให้เรื่องกินทิ้งกินขว้างของประเทศที่มีอันจะกิน หรือประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป
ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาติ (FAO) บอกว่า ในแต่ละปีผู้บริโภคในประเทศที่พัฒนาแล้วทิ้งอาหารที่ยังดีอยู่รวมกันประมาณ 220 ล้านตัน ตัวเลขนี้เทียบเท่ากับผลผลิตอาหารทั้งหมดในประเทศแอฟริกาตอนล่าง
การเผาไหม้ในรถยนต์ คือสาเหตุหลักอีกอย่างหนึ่งของการเกิด CO2 ถ้าจะไม่ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกาก็คงจะไม่สมบูรณ์ เพราะสหรัฐอเมริกาคือตัวแทนอันดับหนึ่งของประเทศที่พัฒนาแล้ว
สหรัฐอเมริกาประเทศเดียวใช้น้ำมันเบนซินวันละ 2,000 ล้านลิตร ถัวเฉลี่ยคนอเมริกันใช้น้ำมัน 3,000 ลิตร/คน/ปี ตัวเลขขนาดนี้คือสูงที่สุดในโลก รองลงมา คือ จีนและญี่ปุ่น 2 ประเทศนี้รวมกันยังใช้น้ำมันไม่ถึงครึ่งของสหรัฐอเมริกา
เฉพาะพลังงานอย่างเดียวสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวใช้พลังงานไปถึง 1 ใน 4 ของปริมาณพลังงานที่ใช้กันอยู่ในโลก ทั้งๆ ที่มีประชากรเพียง 5% ของโลกเท่านั้น
สหรัฐอเมริกาอีกเช่นเดียวกันมีการบริโภคเชื้อเพลิง อาหาร สินค้ามากเป็นอันดับหนึ่งของโลก มากขนาดเอาประเทศที่อยู่ท้ายตาราง 127 ประเทศ มารวมกันยังบริโภคไม่เท่ากับสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว
ในแต่ละปีมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่บนโลกคิดเป็น 1.5 เท่าของโลก ความหมายก็คือ เราต้องมีโลกหนึ่งใบครึ่งถึงจะพอให้มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ มีใช้อย่างเพียงพอ
ถ้าทุกคนใช้ทรัพยากรอย่างคนอเมริกัน จะต้องมีทรัพยากร 5.5 เท่าของโลก จึงจะพอกับความต้องการนั้นคือต้องมีโลก 5 ใบครึ่งถึงจะพอใช้ ถ้าใช้อย่างคนอังกฤษ เราต้องมีโลก 3 ใบครึ่ง แล้วถ้าใช้อย่างคนอินเดียเรามีโลกแค่ครึ่งใบก็พอใช้แล้ว
ภาวะโลกร้อนกำลังทำให้เกาะเล็กๆ หลายร้อยเกาะของประเทศตูวาลูจมน้ำ รัฐบาลของตูวาลูได้อพยพประชากรของพวกเขาออกจากเกาะเหล่านั้นไปอยู่ที่อื่น ถือกันว่าประชากรชาวตูวาลูเป็นผู้อพยพจากภาวะโลกร้อนรุ่นแรกๆ ทั้งๆ ที่ประเทศของเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ประเทศของพวกเขาปล่อย CO2 เพียง 0.1% เท่านั้น
ทำไมถึงเชื่อว่าประเทศที่พัฒนาแล้วต้องรับผิดชอบต่อภาวะโลกร้อน เพราะก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป โลกของเรามี CO2 ห่อหุ้มอยู่ 275 PPM ผ่านไป 300 กว่าปี วันนี้โลกมี CO2 ห่อหุ้มอยู่ 385 PPM และสูงขึ้น 2 PPM ทุกปี เส้นชัยของ PPM อยู่ที่เท่าไหร่น่ะหรือครับ อยู่ที่ราว 450 PPM เหลืออีก 65 PPM ก็ถึงเส้นชัยแล้ว
ด้วยอัตราการเพิ่มของ CO2 ขนาด 2 PPM ต่อปี อีก 32.5 ปี โลกก็จะถึงเส้นชัย เพียงแต่เมื่อถึงเส้นชัยนั้น ไม่มีเหรียญรางวัลใดๆ คล้องคอหรอกครับ เราจะมีพายุ หิมะถล่ม ฝนตก ภัยแล้ง ดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิด ทุกอย่างที่กล่าวมาทำลายสถิติหมด
นั่นคือข้อความโดยสรุปของเรียงความรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อถึงเส้นชัยตรงนั้นคือ ไม่น่าจะมีใครมีชีวิตรอด พรุ่งนี้โลกจะเป็นอย่างไร? ก็ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิต และตัดสินใจของพวกเราในวันนี้
อย่าลืมนะครับ 80% ของ CO2 ที่ห่อหุ้มโลกอยู่นี้เกิดจากฝีมือพวกเรานี้แหละ
ตัวอย่างเรียงความอีก 2 ฉบับ ขอยกยอดไปอาทิตย์หน้านะครับ


